Thursday, 31 July 2014

Contrast Index ตัววัดมาตรฐาน Contrast

ตัวแปรหนึ่งที่ผมว่าเป็นตัวแปรสำคัญในกระบวนการสร้างงานภาพถ่ายคือ Contrast ซึ่งผมได้เล่าไปบ้างแล้ว ทั้งด้านงานขาวดำและงานฟิล์มสี ทีนี้ก็ยังมีความสับสนกันอีกบ้างว่าแล้วคอนทราสเท่าไหร่ล่ะถึงจะเรียกว่าพอดี หรือเหมาะสม?
ทุกคนคงทราบกันดีนะครับว่าผู้บุกเบิกวงการภาพถ่ายที่สำคัญคือ Kodak ในงานฟิล์มนั้น Kodak ได้สร้างค่าตัวแปรหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า Contrast Index (CI) เพื่อใช้ในการวัด Contrast ออกมาเป็นตัวเลขและกำหนดค่า CI มาตรฐานเอาไว้อีกด้วย 

Contrast Index นั้นเรานำมาใช้อ้างอิงถึง ระยะเวลาเหมาะสมที่ใช้ในการล้างฟิล์มขาวดำ เพื่อให้ได้ Contrast ที่ถูกต้อง Kodak ระบุเอาไว้ที่ตัวเลข 0.56 ตัวเลขนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้างคงต้องเล่ากันยาวๆ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะนำเราไปสู่เรื่องของ Zone System ที่หลายคนหลังไมค์มาถามว่าล้างแบบ N, N+1, N-1 คืออะไร คอยติดตามกันนะครับ

มาดูความหมายและที่มาของตัวเลขค่า Contrast Index กันคร่าวๆ ก่อนนะครับ ย้ำอีกทีว่า CI เป็นค่าที่สร้างขึ้นโดย Kodak เพื่อใช้ในการวัดค่า Contrast ของฟิล์มขาวดำที่ผ่านการล้างออกมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว Contrast ของฟิล์มที่ได้นั้นขึ้นอยู่กับแฟคเตอร์หลายๆ อย่าง

  1. Film Speed ฟิล์มยิ่งมีความไวสูง โดยตัวมันเองแล้วจะยิ่งมีคอนทราสต่ำ (ไม่นับพวกฟิล์ม 1600 หรือ 3200 นะครับถือเป็นฟิล์มพิเศษ) ไม่ผิดนะครับ ส่วนมากคนคิดว่าฟิล์มพวก ISO 400 Contrast สูงกว่าพวก ISO 100 ดูกันต่อครับ
  2. Exposure Index (EI) หรือพูดง่ายๆ ว่าค่า ISO ที่ใช้ตอนถ่ายภาพ ถ้าเราถ่ายที่ EI ต่ำกว่า ISO บนกล่องก็จะลดคอนทราสลงเช่นกัน
  3. ระยะเวลาที่ใช้ในการล้างฟิล์ม ยิ่งคุณล้างนานขึ้นคุณยิ่งเพิ่ม Contrast มากขึ้น ข้อนี้ล่ะครับที่พิสูจน์ว่าข้อ 1 ถูกต้อง เคยลองสังเกตดูเวลาล้างที่ระบุในเอกสารของน้ำยาแต่ละตัวไหมครับ ว่าฟิล์มรุ่นเดียวกัน แต่ ISO ต่างกัน อย่าง 100 กับ 400 เนี่ย ตัวที่ ISO สูงกว่าจะต้องใช้เวลาล้างนานกว่าเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้ Contrast ที่เท่ากัน
  4. Dilution หรืออัตราผสมของน้ำยาที่เราใช้ โดยปกติแล้วอย่างน้ำยา D76 ถ้าใช้แบบ Full Strength จะได้ Contrast ที่สูงกว่าแบบผสม 1:1 หรือ 1:3

ค่า Contrast Index ที่เหมาะสม Kodak ระบุไว้ที่ 0.56 สำหรับหัวอัดแบบ Diffusion ส่วนพวกหัวอัดแบบ Condenser แนะนำไว้ที่ 0.45 เหมือนที่เราได้ยินกันมาว่าถ้าล้างฟิล์มไว้สำหรับขยายกับหัวอัดแบบ Condenser ให้ลดเวลาล้างลง จากเวลาที่เราใช้สำหรับหัวอัดแบบ Diffusion ในกรณีนี้จะหมายถึงการขยายภาพลงบนกระดาษเกรด 2 นะครับ ซึ่งในการปรับ Contrast ให้ได้ค่า CI ที่ต้องการนั้น เราจะใช้การปรับ EI กับปรับ เวลาล้างฟิล์มนั่นเอง (กระบวนการ Alternative ต่างๆ ก็ต้องการ CI ที่แตกต่างกันไปด้วยนะครับ)

ในการเริ่มต้นคุม Contrast นั้นหนังสือบางเล่มจะแนะนำไว้ว่า

400 speed black and white film, expose the film at ISO 320 (1/3 of a stop slower) and reduce development 10-15%.

125 speed black and white film, expose the film at ISO 100 and reduce development 10-15%.

การหา Contrast Index นั้นเราต้องวัดค่าความเข้ม (Density) ของเนกาทีฟ ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Densitometer ผมว่ามันจำเป็นมากถ้าเราจะเป็นช่างภาพที่ใช้ Zone System จริงจัง จากนั้นเราก็จะมาปรับ EI กับเทคนิคการล้างฟิล์มของเราใหม่ ส่วนกระบวนการอย่างละเอียดหาอ่านเพิ่มเติมได้ในอินเตอร์เน็ตหรือหนังสืออย่าง Way Beyond Monochrome แนะนำเลยครับหาติดห้องมืดไว้ซักเล่ม

การวัดความเข้มของเนกาทีฟที่ถ่าย Step Wedge มาด้วย Densitometer

เล่าคร่าวๆก่อนละกันนะครับ พอเราวัดค่าได้มาแล้วก็เอามาพลอตกราฟ แกนนอนเป็น Exposure แกนตั้งเป็น Density เราก็จะได้ Characteristic Curve ออกมา ยิ่งล้างฟิล์มนานกราฟจะชันและแคบ แสดงถึงคอนทราสที่สูง 

หน้าตาและส่วนประกอบของ H&D Curve

ในส่วนด้านล่างของกราฟเราจะเรียกว่า Toe กราฟจะไม่ชัน แสดงว่าในส่วนของค่าต่ำอย่าง Shadow เนี่ยคอนทราสจะต่ำ ช่วงกลางเป็นช่วงที่เราสนใจบางทีก็เรียกกันว่าช่วง Straight Line เป็นช่วงทั่วไปที่ฟิล์มบันทึกภาพ ความชันช่วงนี้ล่ะครับที่เอามาวัด CI กัน โดยใช้เครื่องมือวัด Slope ที่ Kodak ออกแบบมา ส่วนช่วงบนของกราฟจะกลับมาชันน้อยลงเรียกว่า Shoulder เป็นช่วงโซนสูงๆ หรือ Highlight ของเนกาทีฟ ความชันลดลงแสดงว่า Contrast ก็ลดลงด้วย ฟิล์มรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันจะมี Shoulder ที่ยาวขึ้นคือชันมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงการไล่โทนที่ดีมากยิ่งขึ้น ต่างจากฟิล์มรุ่นเก่า ที่มักจะเกิดอาการ Block Highlight ขึ้นนั่นเอง

ยิ่งเราเพิ่มเวลาในการล้างมากขึ้นกราฟจะชันขึ้น
เครื่องมือช่วยวัดหาค่า Contrast Index
ที่ออกแบบโดย Kodak
เรื่องเล่าคราวนี้คงเอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ เรื่องเทคนิคค่อนข้างเยอะ ทำความรู้จักกันไปทีละนิดเรื่อยๆ ดีกว่าครับ มีโอกาสจะมาเล่าต่อเรื่อยๆ สงสัย หรือมีสิ่งใดผิดพลาดคอมเมนท์ทิ้งไว้กันได้นะครับ อยากให้มีการโต้ตอบกันบ้างครับ จะได้เกิดความรู้ใหม่ๆ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกันครับ

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/ThaisilpFilmlab ครับผม


No comments:

Post a Comment