ตาของเราทุกคนมองโลกสวยใบนี้เต็มไปด้วยสีสันทุกๆวัน จนบ้างครั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นๆ กันมันดูชินตาไปเสียหมด ผมมีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นที่ได้เห็นรูปขาวดำจากฝีมือ พ่อ แม่ ตา ยาย มาตลอด แรกๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนักตามประสาเด็ก พอเริ่มหัดใช้กล้องก็ถ่ายแต่ฟิล์มสี จนเข้าสู่ยุคดิจิตอล ผมก็เป็นคนหนึ่งที่หลงเข้าสู่่กระแสของมัน กล้องตัวแรก Canon EOS 10D ตอนนั้นจำได้ว่าจ่ายไปเฉพาะตัวกล้องเจ็ดหมื่นกว่าบาทกับกล้องความละเอียด 6 ล้านพิกเซล ศึกษาการเตรียมไฟล์ แต่งไฟล์ต่างๆ จนพอเอาตัวรอดได้ รวมทั้งเรื่องการจัดการสี แต่พอมาถึงวันนึง เกิดความรู้สึกว่าข้อดีต่างๆ ของระบบดิจิตอลนั้น มันดี มันง่ายเกินไป จนไร้ค่า ไม่มีสิ่งใดน่าจดจำ
ในช่วงปลายของยุคฟิล์มที่ทุกคนวิ่งเข้าหาถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ของดิจิตอล ผมกลับค่อยๆ พาตัวเอง เดินเข้าสู่ตรอกซอกซอยแห่งโลกของ "ฟิล์ม" อย่างเต็มตัว โดยเฉพาะโลกของ "ขาว-ดำ" โลกใบนี้ไม่ได้ใช้ตาเนื้อมอง มันใช้ตาภายในมองต่างหาก สีสันต่างๆ ถูกตัดลดออก ผมต้องหัดมองโลกในแบบที่กล้องถ่ายรูปมองคือมองทุกอย่างเป็นโทนความเข้ม ความสว่างต่างระดับไล่เรียงกันไป
การจะถ่ายรูปขาวดำซักรูปนั้น มาสเตอร์ทั้งหลายพร่ำบอกเสมอว่า คุณต้องจินตนาการให้ได้ว่าภาพที่กำลังจะถ่ายนั้น เมื่อมันไปอยู่บนกระดาษแล้ว มันจะเป็นยังไง (Previsualized) แรกๆ ผมไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้ เพราะเราไม่ได้เริ่มถ่ายภาพมาจากแนวขาวดำแต่แรก ถ่ายไปล้างฟิล์มไป เหมือนกับที่ถ่ายฟิล์มสี คือแค่วัดแสงให้ได้ค่า Exposure ที่ถูกต้องเท่านั้น ดูในเนกาทีฟก็สวยดี เวลานำเนกาทีฟไปสแกน หรือขยายรูปในห้องมืด ก็ได้รูปไม่ค่อยเกิดปัญหา แต่พอวันนึงมานั่งดูรูประดับมาสเตอร์ทั้งหลาย เปรียบเทียบกับรูปตัวเองแล้ว รู้สึกได้ทันทีว่ารูปของเราไม่มีพลังพอ มันเป็นได้แค่รูปที่ดี แต่ยังไม่เป็นรูปที่เยี่ยม
ผมพลาดตรงไหนเหรอ? จากที่เราศึกษาจากตำรับตำรามาหลายเล่ม หลายๆแหล่ง ผมมองข้ามเทคนิคหลายๆ อย่างที่เรารู้แต่เราไม่ทำ เราคิดว่ามันไม่น่าจำเป็น ผมทบทวนทุกอย่างใหม่หมด เริ่มต้นอ่านใหม่อย่างละเอียด พักการออกไปถ่ายรูปเอาไว้ก่อน เริ่มจากการปรับระบบขยายรูปในห้องมืดใหม่ นำเนกาทีฟเก่าๆ ที่ถ่ายไว้มาขยายใหม่ตามเทคนิคต่างๆ ในตำรา แน่นอนงานออกมาดีมากขึ้น ผมเริ่มเรียนรู้ว่าเทคนิคในห้องมืดนั้นช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าต้นทางมาไม่ดี งานที่ได้ก็ยังไม่สุดยอด ผมนึกถึงคำกล่าวนึงได้ Garbage in, garbage out ผมมองย้อนกลับมาที่เนกาทีฟ กลับไปทบทวนกระบวนการล้างฟิล์มใหม่โดยอิงกับ Zone System ซึ่งเป็นระบบที่มีมานานแต่ผมไม่ค่อยจะศรัทธามันเท่าไหร่ ผมเริ่มหาเวลาออกถ่ายรูปใหม่ แต่คราวนี้ถ่ายน้อยลง แต่คิดมากขึ้นก่อนถ่าย เอาฟิล์มกลับมาทดลองล้างด้วยเทคนิคใหม่ๆ เนกาทีฟที่ได้ออกมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังมีบางอย่างที่ยังขาดหายอยู่
ผมย้อนตัวเองมาหัดถ่ายรูปใหม่ ใช้หลัก Previsualized กับ Zone System มองซีนที่จะถ่าย แล้วจินตนาการว่าจะให้น้ำหนักของภาพเป็นยังไง จุดเด่นอยู่ที่ไหน จะนำสายตาไปสู่จุดเด่นได้อย่างไร วัดแสงจุดต่างๆ ของภาพเพื่อเชคดูว่าส่วนที่แสงน้อยสุดต่างกับส่วนที่สว่างที่สุดเท่าไหร่ ผมเริ่มไม่ถ่ายอย่างที่ตาเห็น แต่ถ่ายอย่างที่เกิดภาพขึ้นมาในใจ ตามอารมณ์และความรู้สึกขณะนั้น บางทีอาจจะมืดกว่า หรือสว่างกว่าที่ตาเรามองเห็น อย่างในภาพน้ำตกนี้จะว่าไปเป็นภาพแรกที่ผมตั้งใจใช้เทคนิคต่างๆ ที่ได้กลับไปศึกษาเรียบเรียงความคิดตัวเองใหม่เอามาใช้ ผมถ่ายตอนเย็นที่ท้องฟ้าหม่นๆ ประมาณสี่โมงครึ่ง แสงแดดที่ส่องลงตรงๆ ที่น้ำตกไม่เหลือแล้ว เรียกง่ายๆ ว่าคอนทราสต่ำมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็อาจจะวัดแสงตกกระทบ แล้วตั้งค่าถ่ายเลย หรืออาจจะวัดแสงสะท้อนที่น้ำ แล้วชดเชยแสงโอเวอร์ 2-3 Stop แล้วถ่าย แต่คราวนี้ผมวัดแสงเน้นไปที่ผนังก้อนหินที่พื้นผิวผมสะดุดใจผม ในความจริงตรงหินจะค่อนข้างสว่าง ผมจึงชดเชยให้ Under 2 Stop ให้ดูดุดำอย่างที่คิดเอาไว้ในใจ แต่ยังสามารถแสดงรายละเอียดได้สวยงาม จำค่าแสงนี้เอาไว้ จากนั้นผมวัดแสงสะท้อนจากน้ำที่กำลังไหล ในใจคิดไว้ว่าจะให้เป็นสายน้ำสีขาวไหลนุ่มละมุนละไม แต่ยังต้องปรากฏรายละเอียดบ้างพอควร ค่าแสงที่ได้ต่างกับที่วัดในจุดก้อนหินตอนแรก 4 Stop ช่วยยีนยันได้ว่าคอนทราสของซีนนี้ต่ำมาก ผมเห็นภาพในใจทันทีว่าน้ำที่ตั้งใจให้ขาวเป็นจุดเด่นจะไม่ขาวแน่ เพราะผมถ่าย Under นี่
ผมบันทึกภาพนี้ลงฟิล์มด้วยค่าแสงที่วัดและชดเชยตรงบริเวณหิน ถ่าย Under เพื่อให้หินมันดูดุดำเข้มมากขึ้น เคล็ดวิชาของการถ่ายขาวดำคือ Expose for Shadow เพราะถ้าคุณไม่ให้ปริมาณแสงที่เพียงพอตกกระทบลงบนฟิล์มแล้ว ไม่ว่าคุณจะใช้เทคนิคล้างฟิล์มอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถทำให้มีรายละเอียดปรากฏขึ้นในฟิล์มได้ จึงต้องให้ความสำคัญในการวัดแสงส่วนที่เป็นส่วนมืดเป็นอย่างมาก เพราะรูปที่สมบูรณ์จะต้องปรากฏรายละเอียดในส่วนเงามืด (Rich Black) ไม่ใช่เป็นสีดำปื้นๆ บนกระดาษ สิ่งที่ต้องคิดลำดับต่อมาคือ ถ้าผมล้างฟิล์มแผ่นนี้ด้วยเวลาปกติ (เวลาปกตินี้เราต้องทดลองหากันเสียก่อน) สายน้ำที่ผมตั้งใจจะให้ขาวเด่นขึ้นมาคงไม่ขาวแน่ๆ (Brilliant white) ทางแก้ต้องไปแก้ตอนล้างฟิล์ม อีกหนึ่งเคล็ดวิชาคือ Develop for Highlight เพื่อจะให้ได้ความขาวตามที่คิดเอาไว้ผมต้องเพิ่มเวลาล้างมากขึ้นจากเวลาล้างปกติ ในกรณีนี้ผมใช้เวลาล้างที่เรียกว่า N+1 เพื่อทำให้เนื้อฟิล์มบริเวณสายน้ำมีเพิ่มมากขึ้นซึ่งแน่นอนว่าเวลานี้ได้มาจากการทดลองล้างหาเวลาเอาไว้แล้วล่วงหน้า
ผมตั้งใจถ่ายให้มืดลง เพื่อให้หินดูสวยงามมีพลัง ขณะเดียวกันต้องพยายามทำให้สายน้ำขาวใส ด้วยการเพิ่มเวลาล้างฟิล์ม ผลที่ได้น่าพอใจมาก ภาพดูมีพลังดึงดูดสายตา ได้มากกว่าภาพจริงๆ ที่ผมมองเห็น บางทีการลองถอยหลังมาอีกสักก้าว มันทำให้เราเห็นโลกเบื้องหน้ากว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
เสพพลังขาวดำ
ReplyDeleteThank you!