Tuesday, 17 June 2014

Two Bath Developer ดีจริงมั้ย?

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า พอดีผมก็ค้นๆ รื้อๆ กระเป๋ากล้องแล้วดันไปเจอฟิล์มม้วนนึงถ่ายไว้แล้วยังไม่ได้ล้าง เป็นฟิล์ม Tri-x ฟอร์แมต 120 ซึ่งไม่ได้เขียน Note อะไรไว้เลย เอาล่ะสิทีนี้จะทำไง ถ่ายอะไรไว้ยังไง ถ่ายที่ EI เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ปกติผมจะใช้น้ำยาล้างฟิล์มประจำอยู่สามตัว ตัวแรกคือน้ำยาที่ต้องผสมเอง ตัวนี้ไม่มีวางขายคือ PC-TEA (ออกแบบโดย Patrick Grainer คนขาวดำคนนึงที่ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ NASA ด้วย) ตัวที่สองใช้ได้มาพอสมควร พอจะเข้าใจนิสัยใจคอกันได้แล้วคือ Ilfotec HC ชอบเพราะสะดวกไม่เปลืองดัดแปลงอะไรได้หลายอย่าง ทำงานคล้ายๆ HC110 ของ Kodak ส่วนตัวสุดท้ายพึ่งใช้ได้ไม่นานและติดใจมากคือ ID-68 (สูตรผสมเองเช่นกันใกล้เคียง Microphen ของ Ilford)

ฟิล์มม้วนที่ว่านี้คิดว่ายังไงก็ถ่าย EI ต่ำกว่า 400 ข้างกล่องแน่นอน เพราะฉะนั้น ID-68 ตัดออกไปได้เลย เพราะมันจะดันส่วน Shadow ขึ้นมาหนามากแน่ ปกติกับน้ำยาตัวนี้ผมจะถ่ายที่ EI 800 เหมาะกับเวลาที่ต้องใส่ฟิลเตอร์สีเหลืองซึ่งเสียแสงไป 1 Stop เป็นการชดเชยกันไป ส่วน PC-TEA ที่เหลืออยู่ก็ดำปี๋แล้ว ลองเทสกับหัวฟิล์มดู ยังสามารถทำให้เนื้อฟิล์มดำขึ้นมาได้อยู่แต่ไม่มั่นใจว่ามันยังทำงานเต็มร้อยอยู่หรือเปล่า ส่วนถ้าจะเอา Ilfotec HC ล้างแบบ Minimal Agitation คิดว่าน่าจะพอไปได้ วิธีนี้หมดห่วงเรื่อง Shadow ไปได้พอสมควร แต่ก็เสียวๆ เรื่องเวลาล้างว่าจะได้ Highlight ที่พอดีไม่หนาเกินหรือเปล่า เพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าถ่ายอะไรไว้ ลักษณะแสงเป็นแบบไหน (Subject Contrast)

พอดีช่วงนี้ศึกษาเรื่องการคุมคอนทราสของเนกาทีฟพอดี ผ่านๆ ตามาเรื่องน้ำยาแบบหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อใช้ช่วยเวลาเจอ Subject Contrast สูงๆ และฟิล์มม้วนโดยเฉพาะ 135 ที่ในม้วนนึงถ่ายมาสารพัดสภาพแสง น้ำยาที่ว่านี้เรียกว่า Two Bath Developer หลักการคือแยกน้ำยาออกเป็นสองส่วน A และ B โดยจุ่มฟิล์มในน้ำยา A ก่อน เมื่อครบเวลาก็จุ่มด้วย B ตามแล็วก้อ Stop และ Fix ตามปกติ สูตรตัวแรกสุดคิดค้นโดย Heinrich Stoëckler ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองคือ Stoeckler Two Bath ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ Leica User กันเลยทีเดียว ต่อมา Ansel Adams ใช้หลักการเดียวกันมาพัฒนาต่อ โดยจับเอา D-23 ของ Kodak มาปรับปรุง กลายเป็นสูตรแบบ Two Bath และโดยการนำข้อดีข้อด้วยของสองสูตรดังกล่าวมาปรับปรุงโดย Barry Thornton ซึ่งเป็นช่างภาพและช่างขยายภาพด้วยเพื่อให้เหมาะกับฟิล์มรุ่นใหม่ๆ เค้าเขียนรายละเอียดไว้ในหนังสือ Edge of Darkness เอาไว้ หนังสือดีอีกเล่มที่ถ้าหาได้ลองหามาศึกษากันดูครับ ที่นี้มาดูสูตรแต่ละตัวกัน




สังเกตเห็นอะไรมั้ยครับ ทั้งสามสูตรนี่ใช้เคมีเพียงแค่สามตัวเท่านั้น ง่ายและประหยัดดีมั้ยครับ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันหน่อยทั้งสามสูตรนี้ยังใช้ได้ผลดีทั้งหมดนะครับ แต่ผมขอทดสอบกับสูตรที่สาม ของ Barry Thornton เพราะปรับปรุงมาค่อนข้างลงตัวกับฟิล์มรุ่นใหม่ๆ ที่เนื้อฟิล์มค่อนข้างบางกว่าฟิล์มสมัยก่อน และตัวเค้าเองบอกว่าสูตรของเค้าให้คอนทราสที่ดีกว่า ได้ความคมชัดที่ดีกว่า

หลักการทำงานของมันจะเห็นว่าใน Bath A ของทุกสูตรจะมี Metol ซึ่งทำหน้าที่เป็น Developing Agent และตัว Preservative ในที่นี้จะเป็น Sodium Sulfite (หน้าที่แต่ละตัววันหลังคงได้เล่าให้ฟัง) ส่วนตัว Accelerator จะถูกแยกออกเอาไปไว้ใน Bath B ต่างหาก ผลลัพธ์อย่างนึงคือ แต่ละส่วนเก็บไว้ได้นานมากๆ ไม่เสียง่ายไงครับ และการที่มีแต่ Metol กับ Sulfite ทำให้ได้เกรนที่ละเอียด ความเป็นกรดต่ำ

เมื่อเราเทน้ำยา Bath A ลงในฟิล์ม ฟิล์มจะเริ่มดูดซับเคมีเข้าไว้ในเนื้อฟิล์ม ผมคิดว่าอาจจะมีการสร้างภาพเกิดขึ้นในขั้นตอนนี้บ้าง แต่น่าจะอย่างช้าๆ เสร็จแล้วเมื่อครบเวลาเทน้ำยา Bath A ออก แล้วเทน้ำยา Bath B เข้าไปแทน ขั้นตอนนี้น่าจะเป็นการสร้างภาพขึ้นมาอย่างชัดเจน เพราะน้ำยาจาก Bath A ที่เนื้อฟิล์มดูดเอาไว้จะเริ่มทำปฏิกิริยากับ Sodium Metaborate เกิดอัตราการสร้างภาพที่เร็วขึ้น เพราะค่าความเป็นกรดทีสูงใน Bath B การสร้างภาพบริเวณ Highlight จะสูงมากปฏิกิริยาเคมีบริเวณนี้จะทำให้น้ำยาหมดสภาพอย่างรวดเร็ว แต่ในส่วน Shadow ปฏิกิริยาจะเกิดอย่างช้าๆ หลักการคล้าย Minimal Agitation นั่นล่ะครับ ขณะที่ Highlight หยุดสร้างภาพ หรือช้ามากๆ ทางด้าน Shadow ก็ยังทำการสร้างภาพต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ได้ Shadow Detail ที่ดี และ Highlight ที่พอดีไม่หนาเกินไป ทำให้โดยรวมแล้วได้การไล่โทนในเนกาทีฟที่สวยงาม การไล่โทนที่ดีในเนกาทีฟนี่ล่ะครับ ที่ทำให้ภาพดูมีมิติ เวลาที่เราเอามาปรินท์ลงกระดาษ โดยเฉพาะโทนกลาง ลองเทียบดูได้นะครับ รูปที่อัดลงกระดาษจะไล่โทนกลางได้สวยกว่าการสแกนฟิล์มมากๆ
สังเกตตรงกลีบขาวๆ ของดอกฝิ่นดูนะครับ เก็บรายละเอียดและคอนทราสได้ดีทีเดียว


เข้าใจการทำงานไปแล้ว ทีนี้มาดูวิธีล้างฟิล์มโดยน้ำยาแบบ Two Bath กันนะครับ ข้อควรระวังอย่างแรกเลยคืออย่าทำ Prewash ฟิล์มก่อนนะครับ เพราะเราต้องการให้เนื้อฟิล์มดูดซับเอาน้ำยาใน Bath A เอาไว้ให้เต็มที่ (เพื่อปฏิกิริยาทางเคมีที่ดีที่สุดเมื่อเราใส่ Bath B ลงไป) ขั้นตอนแรกเหมือนกับการล้างฟิล์มโดยทั่วไปครับ เตรียมน้ำยาต่างๆ ไว้ที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส อุณหภูมินี้เป็นค่าแนะนำจาก Barry Thornton เลยนะครับ เมื่อโหลดฟิล์มใส่แทงค์พร้อมแล้ว เทน้ำยา Bath A เข้าแทงค์ วิธีการเขย่าต่างๆ ก็เหมือนกับการล้างฟิล์มด้วยน้ำยาปกติ อย่างของผมก็เขย่าด้วยการพลิกแทงค์กลับด้านต่อเนื่อง 30 วินาทีแรก กระแทกแทงค์เบาๆ สองสามครั้งกับโต๊ะเพื่อไล่ฟองอากาศที่อาจเกิดขึ้นและเกาะอยู่ที่เนื้อฟิล์ม จากนั้นก็พลิกแทงค์ 10 วินาทีทุกๆ 1 นาที ผมใช้เวลาตามที่แนะนำคือ 4 นาทีนะครับกับ Bath A ครบเวลาเทน้ำยาออกเก็บไว้นะครับ ไม่ต้องเททิ้ง เพราะน้ำยาแบบนี้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้เรื่อยๆ ครับ Barry แนะนำว่าประมาณ 15 ม้วนค่อยเททิ้งนะครับและจะใช้ได้มากกว่านี้ถ้าหมั่นเปลี่ยน Bath B

พอเท Bath A ออกแล้ว เติม Bath B ลงในแทงค์ต่อได้เลยนะครับ อย่าไปเติมน้ำยา Stop หรือน้ำเปล่าเด็ดขาด การเขย่ากับ Bath B ผมจะพลิกแทงค์กลับไปมา 30 วินาทีแรกแล้วกระแทกแทงค์เพื่อไล่ฟองอากาศ จากนั้นอีกสองนาทีถึงจะพลิกแทงค์ประมาณ 10 วินาที คือเอา Minimal Agitation มาใช้กับ Bath B เพื่อให้การเกิดปฏิกิริยาที่ Highlight เกิดน้อยที่สุด ความจริง Barry บอกว่ากับฟิล์ม 120 ซึ่งไม่มีหนามเตยไม่จำเป็นต้องเขย่าแทงค์เลยใน Bath B แต่กับ 135 ที่มีหนามเตยอาจมีผลกับฟิล์มบริเวณขอบๆ หนามเตยนะครับ เค้าเตือนไว้ ผมใช้เวลาเท่ากันกับ Bath A เลยนะครับ 4 นาทีเท่ากัน ใน Bath B นี่ล่ะครับที่กระบวนการสร้างภาพเกิดขึ้น Barry บอกว่า Two Bath ของเค้านี่จะให้เนกาทีฟไม่เหมือนกับกระบวนการ Compensating development ที่ใช้น้ำยาเจือจางสูงๆ ล้างนานๆเขย่าน้อยๆ นะครับ เค้าเคลมว่า Midtone ที่ได้จากน้ำยาแบบนี้จะสวยกว่าไม่ตันๆ แบนๆ แล้ว Shadow ก็ดูมีมิติมากกว่าด้วย

เอาล่ะครับครบเวลาเทน้ำยา Bath B ออกจะเก็บไว้ใช้ต่อก็ได้นะครับ แต่ผมเททิ้งเลยเพราะ Bath B เตรียมง่ายและราคาต่ำมากๆ เพื่อความมั่นใจส่วนตัวในกรณีล้างม้วนต่อไปนะครับ ถ้าเก็บไว้ก็ใช้ได้ประมาณ 15 ม้วนนะครับ Stop แล้วก้อ Fix ตามปกติครับ ส่วนตัวผมใช้ Water Stop Bath ครับ

Mid Tone สวยจริงครับ ดูน้ำมีมิติดีมาก

สรุปข้อดีของการล้างฟิล์มแบบ Two Bath ที่ผมมองเห็นนะครับ
  1. หลักๆเลย ฟิล์มทั้งม้วนมี Negative Contrast ที่บาลานซ์กันได้ดีมากๆ ในแต่ละเฟรมซึ่ง Subject Contrast ต่างกัน เอาไว้จะลอง Contact ปรินท์ดูอีกทีนะครับดูเนกาทีฟผ่านๆ ด้วยตาน่าจะขยายลงกระดาษประมาณเกรด 2 และ 3
  2. ผมว่า Mid Tone สวยดีนะครับการไล่โทนกลางที่ดีจะทำให้รูปที่ขยายออกมามีมิติที่ดีขึ้นมากๆ 
  3. แน่นอนครับ Shadow Detail ดี ถ้าหาค่า EI ดีๆ อีกทีหมดห่วงได้เลย
  4. สมมติว่าเราถ่ายฟิล์มหลายยี่ห้อ หลายรุ่น สามารถรวมกันล้างในแทงค์เดียวกันทีเดียวได้เลยประหยัดเวลาไปได้มากเลยล่ะครับ
  5. ประหยัดน้ำยาด้วยครับ Bath A เก็บได้นานวนกลับมาใช้ได้เรื่อยๆ เพราะมันแค่มีหน้าที่เอาไปให้ฟิล์มดูซับเอาไว้เท่านั้น ไม่เสียสภาพทางเคมี ส่วน Bath B ถึงแม้ผมจะเททิ้งเลยก็ถือว่าถูกมากๆ ครับ ผสมใหม่ง่ายเพราะละลายง่ายมาก
  6. การคุมอุณหภูมิ ไม่ค่อยซีเรียสมากนะครับ และทำได้ง่ายขึ้นเพราะคุมแค่ช่วงสั้นๆ ในแต่ละตัว
  7. ผมว่าเหมาะกับมือใหม่หัดล้างฟิล์มมากๆ เพราะโอกาสที่ฟิล์มจะเสียน้อยมาก โอกาสได้รูปสูง ถ้าคุณไม่วัดแสงผิดมามากๆ นะครับ
วันที่ฟ้าขาวๆ มีแต่เมฆ เก็บรายละเอียดใช้ได้ครับ ตอนอัดลงกระดาษเราเผาเพิ่มรายละเอียดได้อีก

เป็นไงล่ะครับ คิดว่าจะพอเป็นน้ำยาอีกระบบหนึ่งที่ต้องมีติดห้องมืดไว้หรือเปล่าครับ  สำหรับผมคราวต่อไปถ้าผมถ่าย 135 ล่ะก้อ ผมเลือกล้างฟิล์มด้วย Barry Thornton Two Bath แน่นอนครับ เพราะม้วนนึงของผมมันไปซะหลายที่ หลายเวลา หลายสภาพแสง กว่าจะหมดม้วนได้ อีกทั้งเกรนกับความคมชัดที่ได้ผมว่ามันกำลังพอดีลงตัวกัน ฟิล์มเล็กๆ อย่าง 135 นี่ความจริงแล้วปราบเซียนนะครับสำหรับความคิดผม ที่จะทำออกมาให้ดี โดยเฉพาะเมื่อต้องไปอยู่บนกระดาษ เอาไว้ได้ลองแล้วจะเอามาเล่าให้ฟังอีกที

อ้อ Barry เค้าแถมให้อีกหน่อยนะครับ Two Bath ของเค้าช่วยเรื่อง Zone System ได้นิดหน่อยครับ คือถ้าต้องการล้าง N-1 ให้ลด Sodium Metaborate ใน Bath B เหลือ 7 กรัม ถ้าอยากได้คอนทราส N+1 ก็เพิ่ม Sodium Metaborate ไปเป็น 20 กรัมนะครับ แต่อย่าลืมว่าเป็นการปรับคอนทราสทั้งม้วนเลยนะครับ

ขออภัยรูปประกอบคราวนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะฟิล์มม้วนนี้ที่ลืมก็เป็นเพราะ ถ่ายเรื่อยเปื่อย จากยอดดอยไปถึงทะเลนู่น มิน่าถึงไม่ได้เขียนโน๊ตไรทิ้งไว้ที่ฟิล์มเลย คิดว่าคงมีตอนต่อไปกะน้ำยาตัวนี้นะครับ แต่จะลองกับฟิล์มแผ่นดูบ้าง ว่าเอามาใช้กับ Zone System จะไปไหวหรือเปล่า ติดตามกันนะครับ 

No comments:

Post a Comment