Tuesday, 17 June 2014

Two Bath Developer ดีจริงมั้ย?

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า พอดีผมก็ค้นๆ รื้อๆ กระเป๋ากล้องแล้วดันไปเจอฟิล์มม้วนนึงถ่ายไว้แล้วยังไม่ได้ล้าง เป็นฟิล์ม Tri-x ฟอร์แมต 120 ซึ่งไม่ได้เขียน Note อะไรไว้เลย เอาล่ะสิทีนี้จะทำไง ถ่ายอะไรไว้ยังไง ถ่ายที่ EI เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ปกติผมจะใช้น้ำยาล้างฟิล์มประจำอยู่สามตัว ตัวแรกคือน้ำยาที่ต้องผสมเอง ตัวนี้ไม่มีวางขายคือ PC-TEA (ออกแบบโดย Patrick Grainer คนขาวดำคนนึงที่ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ NASA ด้วย) ตัวที่สองใช้ได้มาพอสมควร พอจะเข้าใจนิสัยใจคอกันได้แล้วคือ Ilfotec HC ชอบเพราะสะดวกไม่เปลืองดัดแปลงอะไรได้หลายอย่าง ทำงานคล้ายๆ HC110 ของ Kodak ส่วนตัวสุดท้ายพึ่งใช้ได้ไม่นานและติดใจมากคือ ID-68 (สูตรผสมเองเช่นกันใกล้เคียง Microphen ของ Ilford)

ฟิล์มม้วนที่ว่านี้คิดว่ายังไงก็ถ่าย EI ต่ำกว่า 400 ข้างกล่องแน่นอน เพราะฉะนั้น ID-68 ตัดออกไปได้เลย เพราะมันจะดันส่วน Shadow ขึ้นมาหนามากแน่ ปกติกับน้ำยาตัวนี้ผมจะถ่ายที่ EI 800 เหมาะกับเวลาที่ต้องใส่ฟิลเตอร์สีเหลืองซึ่งเสียแสงไป 1 Stop เป็นการชดเชยกันไป ส่วน PC-TEA ที่เหลืออยู่ก็ดำปี๋แล้ว ลองเทสกับหัวฟิล์มดู ยังสามารถทำให้เนื้อฟิล์มดำขึ้นมาได้อยู่แต่ไม่มั่นใจว่ามันยังทำงานเต็มร้อยอยู่หรือเปล่า ส่วนถ้าจะเอา Ilfotec HC ล้างแบบ Minimal Agitation คิดว่าน่าจะพอไปได้ วิธีนี้หมดห่วงเรื่อง Shadow ไปได้พอสมควร แต่ก็เสียวๆ เรื่องเวลาล้างว่าจะได้ Highlight ที่พอดีไม่หนาเกินหรือเปล่า เพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าถ่ายอะไรไว้ ลักษณะแสงเป็นแบบไหน (Subject Contrast)

พอดีช่วงนี้ศึกษาเรื่องการคุมคอนทราสของเนกาทีฟพอดี ผ่านๆ ตามาเรื่องน้ำยาแบบหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อใช้ช่วยเวลาเจอ Subject Contrast สูงๆ และฟิล์มม้วนโดยเฉพาะ 135 ที่ในม้วนนึงถ่ายมาสารพัดสภาพแสง น้ำยาที่ว่านี้เรียกว่า Two Bath Developer หลักการคือแยกน้ำยาออกเป็นสองส่วน A และ B โดยจุ่มฟิล์มในน้ำยา A ก่อน เมื่อครบเวลาก็จุ่มด้วย B ตามแล็วก้อ Stop และ Fix ตามปกติ สูตรตัวแรกสุดคิดค้นโดย Heinrich Stoëckler ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองคือ Stoeckler Two Bath ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ Leica User กันเลยทีเดียว ต่อมา Ansel Adams ใช้หลักการเดียวกันมาพัฒนาต่อ โดยจับเอา D-23 ของ Kodak มาปรับปรุง กลายเป็นสูตรแบบ Two Bath และโดยการนำข้อดีข้อด้วยของสองสูตรดังกล่าวมาปรับปรุงโดย Barry Thornton ซึ่งเป็นช่างภาพและช่างขยายภาพด้วยเพื่อให้เหมาะกับฟิล์มรุ่นใหม่ๆ เค้าเขียนรายละเอียดไว้ในหนังสือ Edge of Darkness เอาไว้ หนังสือดีอีกเล่มที่ถ้าหาได้ลองหามาศึกษากันดูครับ ที่นี้มาดูสูตรแต่ละตัวกัน




สังเกตเห็นอะไรมั้ยครับ ทั้งสามสูตรนี่ใช้เคมีเพียงแค่สามตัวเท่านั้น ง่ายและประหยัดดีมั้ยครับ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันหน่อยทั้งสามสูตรนี้ยังใช้ได้ผลดีทั้งหมดนะครับ แต่ผมขอทดสอบกับสูตรที่สาม ของ Barry Thornton เพราะปรับปรุงมาค่อนข้างลงตัวกับฟิล์มรุ่นใหม่ๆ ที่เนื้อฟิล์มค่อนข้างบางกว่าฟิล์มสมัยก่อน และตัวเค้าเองบอกว่าสูตรของเค้าให้คอนทราสที่ดีกว่า ได้ความคมชัดที่ดีกว่า

หลักการทำงานของมันจะเห็นว่าใน Bath A ของทุกสูตรจะมี Metol ซึ่งทำหน้าที่เป็น Developing Agent และตัว Preservative ในที่นี้จะเป็น Sodium Sulfite (หน้าที่แต่ละตัววันหลังคงได้เล่าให้ฟัง) ส่วนตัว Accelerator จะถูกแยกออกเอาไปไว้ใน Bath B ต่างหาก ผลลัพธ์อย่างนึงคือ แต่ละส่วนเก็บไว้ได้นานมากๆ ไม่เสียง่ายไงครับ และการที่มีแต่ Metol กับ Sulfite ทำให้ได้เกรนที่ละเอียด ความเป็นกรดต่ำ

เมื่อเราเทน้ำยา Bath A ลงในฟิล์ม ฟิล์มจะเริ่มดูดซับเคมีเข้าไว้ในเนื้อฟิล์ม ผมคิดว่าอาจจะมีการสร้างภาพเกิดขึ้นในขั้นตอนนี้บ้าง แต่น่าจะอย่างช้าๆ เสร็จแล้วเมื่อครบเวลาเทน้ำยา Bath A ออก แล้วเทน้ำยา Bath B เข้าไปแทน ขั้นตอนนี้น่าจะเป็นการสร้างภาพขึ้นมาอย่างชัดเจน เพราะน้ำยาจาก Bath A ที่เนื้อฟิล์มดูดเอาไว้จะเริ่มทำปฏิกิริยากับ Sodium Metaborate เกิดอัตราการสร้างภาพที่เร็วขึ้น เพราะค่าความเป็นกรดทีสูงใน Bath B การสร้างภาพบริเวณ Highlight จะสูงมากปฏิกิริยาเคมีบริเวณนี้จะทำให้น้ำยาหมดสภาพอย่างรวดเร็ว แต่ในส่วน Shadow ปฏิกิริยาจะเกิดอย่างช้าๆ หลักการคล้าย Minimal Agitation นั่นล่ะครับ ขณะที่ Highlight หยุดสร้างภาพ หรือช้ามากๆ ทางด้าน Shadow ก็ยังทำการสร้างภาพต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ได้ Shadow Detail ที่ดี และ Highlight ที่พอดีไม่หนาเกินไป ทำให้โดยรวมแล้วได้การไล่โทนในเนกาทีฟที่สวยงาม การไล่โทนที่ดีในเนกาทีฟนี่ล่ะครับ ที่ทำให้ภาพดูมีมิติ เวลาที่เราเอามาปรินท์ลงกระดาษ โดยเฉพาะโทนกลาง ลองเทียบดูได้นะครับ รูปที่อัดลงกระดาษจะไล่โทนกลางได้สวยกว่าการสแกนฟิล์มมากๆ
สังเกตตรงกลีบขาวๆ ของดอกฝิ่นดูนะครับ เก็บรายละเอียดและคอนทราสได้ดีทีเดียว


เข้าใจการทำงานไปแล้ว ทีนี้มาดูวิธีล้างฟิล์มโดยน้ำยาแบบ Two Bath กันนะครับ ข้อควรระวังอย่างแรกเลยคืออย่าทำ Prewash ฟิล์มก่อนนะครับ เพราะเราต้องการให้เนื้อฟิล์มดูดซับเอาน้ำยาใน Bath A เอาไว้ให้เต็มที่ (เพื่อปฏิกิริยาทางเคมีที่ดีที่สุดเมื่อเราใส่ Bath B ลงไป) ขั้นตอนแรกเหมือนกับการล้างฟิล์มโดยทั่วไปครับ เตรียมน้ำยาต่างๆ ไว้ที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส อุณหภูมินี้เป็นค่าแนะนำจาก Barry Thornton เลยนะครับ เมื่อโหลดฟิล์มใส่แทงค์พร้อมแล้ว เทน้ำยา Bath A เข้าแทงค์ วิธีการเขย่าต่างๆ ก็เหมือนกับการล้างฟิล์มด้วยน้ำยาปกติ อย่างของผมก็เขย่าด้วยการพลิกแทงค์กลับด้านต่อเนื่อง 30 วินาทีแรก กระแทกแทงค์เบาๆ สองสามครั้งกับโต๊ะเพื่อไล่ฟองอากาศที่อาจเกิดขึ้นและเกาะอยู่ที่เนื้อฟิล์ม จากนั้นก็พลิกแทงค์ 10 วินาทีทุกๆ 1 นาที ผมใช้เวลาตามที่แนะนำคือ 4 นาทีนะครับกับ Bath A ครบเวลาเทน้ำยาออกเก็บไว้นะครับ ไม่ต้องเททิ้ง เพราะน้ำยาแบบนี้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้เรื่อยๆ ครับ Barry แนะนำว่าประมาณ 15 ม้วนค่อยเททิ้งนะครับและจะใช้ได้มากกว่านี้ถ้าหมั่นเปลี่ยน Bath B

พอเท Bath A ออกแล้ว เติม Bath B ลงในแทงค์ต่อได้เลยนะครับ อย่าไปเติมน้ำยา Stop หรือน้ำเปล่าเด็ดขาด การเขย่ากับ Bath B ผมจะพลิกแทงค์กลับไปมา 30 วินาทีแรกแล้วกระแทกแทงค์เพื่อไล่ฟองอากาศ จากนั้นอีกสองนาทีถึงจะพลิกแทงค์ประมาณ 10 วินาที คือเอา Minimal Agitation มาใช้กับ Bath B เพื่อให้การเกิดปฏิกิริยาที่ Highlight เกิดน้อยที่สุด ความจริง Barry บอกว่ากับฟิล์ม 120 ซึ่งไม่มีหนามเตยไม่จำเป็นต้องเขย่าแทงค์เลยใน Bath B แต่กับ 135 ที่มีหนามเตยอาจมีผลกับฟิล์มบริเวณขอบๆ หนามเตยนะครับ เค้าเตือนไว้ ผมใช้เวลาเท่ากันกับ Bath A เลยนะครับ 4 นาทีเท่ากัน ใน Bath B นี่ล่ะครับที่กระบวนการสร้างภาพเกิดขึ้น Barry บอกว่า Two Bath ของเค้านี่จะให้เนกาทีฟไม่เหมือนกับกระบวนการ Compensating development ที่ใช้น้ำยาเจือจางสูงๆ ล้างนานๆเขย่าน้อยๆ นะครับ เค้าเคลมว่า Midtone ที่ได้จากน้ำยาแบบนี้จะสวยกว่าไม่ตันๆ แบนๆ แล้ว Shadow ก็ดูมีมิติมากกว่าด้วย

เอาล่ะครับครบเวลาเทน้ำยา Bath B ออกจะเก็บไว้ใช้ต่อก็ได้นะครับ แต่ผมเททิ้งเลยเพราะ Bath B เตรียมง่ายและราคาต่ำมากๆ เพื่อความมั่นใจส่วนตัวในกรณีล้างม้วนต่อไปนะครับ ถ้าเก็บไว้ก็ใช้ได้ประมาณ 15 ม้วนนะครับ Stop แล้วก้อ Fix ตามปกติครับ ส่วนตัวผมใช้ Water Stop Bath ครับ

Mid Tone สวยจริงครับ ดูน้ำมีมิติดีมาก

สรุปข้อดีของการล้างฟิล์มแบบ Two Bath ที่ผมมองเห็นนะครับ
  1. หลักๆเลย ฟิล์มทั้งม้วนมี Negative Contrast ที่บาลานซ์กันได้ดีมากๆ ในแต่ละเฟรมซึ่ง Subject Contrast ต่างกัน เอาไว้จะลอง Contact ปรินท์ดูอีกทีนะครับดูเนกาทีฟผ่านๆ ด้วยตาน่าจะขยายลงกระดาษประมาณเกรด 2 และ 3
  2. ผมว่า Mid Tone สวยดีนะครับการไล่โทนกลางที่ดีจะทำให้รูปที่ขยายออกมามีมิติที่ดีขึ้นมากๆ 
  3. แน่นอนครับ Shadow Detail ดี ถ้าหาค่า EI ดีๆ อีกทีหมดห่วงได้เลย
  4. สมมติว่าเราถ่ายฟิล์มหลายยี่ห้อ หลายรุ่น สามารถรวมกันล้างในแทงค์เดียวกันทีเดียวได้เลยประหยัดเวลาไปได้มากเลยล่ะครับ
  5. ประหยัดน้ำยาด้วยครับ Bath A เก็บได้นานวนกลับมาใช้ได้เรื่อยๆ เพราะมันแค่มีหน้าที่เอาไปให้ฟิล์มดูซับเอาไว้เท่านั้น ไม่เสียสภาพทางเคมี ส่วน Bath B ถึงแม้ผมจะเททิ้งเลยก็ถือว่าถูกมากๆ ครับ ผสมใหม่ง่ายเพราะละลายง่ายมาก
  6. การคุมอุณหภูมิ ไม่ค่อยซีเรียสมากนะครับ และทำได้ง่ายขึ้นเพราะคุมแค่ช่วงสั้นๆ ในแต่ละตัว
  7. ผมว่าเหมาะกับมือใหม่หัดล้างฟิล์มมากๆ เพราะโอกาสที่ฟิล์มจะเสียน้อยมาก โอกาสได้รูปสูง ถ้าคุณไม่วัดแสงผิดมามากๆ นะครับ
วันที่ฟ้าขาวๆ มีแต่เมฆ เก็บรายละเอียดใช้ได้ครับ ตอนอัดลงกระดาษเราเผาเพิ่มรายละเอียดได้อีก

เป็นไงล่ะครับ คิดว่าจะพอเป็นน้ำยาอีกระบบหนึ่งที่ต้องมีติดห้องมืดไว้หรือเปล่าครับ  สำหรับผมคราวต่อไปถ้าผมถ่าย 135 ล่ะก้อ ผมเลือกล้างฟิล์มด้วย Barry Thornton Two Bath แน่นอนครับ เพราะม้วนนึงของผมมันไปซะหลายที่ หลายเวลา หลายสภาพแสง กว่าจะหมดม้วนได้ อีกทั้งเกรนกับความคมชัดที่ได้ผมว่ามันกำลังพอดีลงตัวกัน ฟิล์มเล็กๆ อย่าง 135 นี่ความจริงแล้วปราบเซียนนะครับสำหรับความคิดผม ที่จะทำออกมาให้ดี โดยเฉพาะเมื่อต้องไปอยู่บนกระดาษ เอาไว้ได้ลองแล้วจะเอามาเล่าให้ฟังอีกที

อ้อ Barry เค้าแถมให้อีกหน่อยนะครับ Two Bath ของเค้าช่วยเรื่อง Zone System ได้นิดหน่อยครับ คือถ้าต้องการล้าง N-1 ให้ลด Sodium Metaborate ใน Bath B เหลือ 7 กรัม ถ้าอยากได้คอนทราส N+1 ก็เพิ่ม Sodium Metaborate ไปเป็น 20 กรัมนะครับ แต่อย่าลืมว่าเป็นการปรับคอนทราสทั้งม้วนเลยนะครับ

ขออภัยรูปประกอบคราวนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะฟิล์มม้วนนี้ที่ลืมก็เป็นเพราะ ถ่ายเรื่อยเปื่อย จากยอดดอยไปถึงทะเลนู่น มิน่าถึงไม่ได้เขียนโน๊ตไรทิ้งไว้ที่ฟิล์มเลย คิดว่าคงมีตอนต่อไปกะน้ำยาตัวนี้นะครับ แต่จะลองกับฟิล์มแผ่นดูบ้าง ว่าเอามาใช้กับ Zone System จะไปไหวหรือเปล่า ติดตามกันนะครับ 

Friday, 6 June 2014

Contrast คำคุ้นหู เอามาใช้ทำงานขาวดำยังไง?

ในแสงยามบ่าย วันฟ้าหม่น ผมเพิ่มเวลาล้างเพื่อให้ได้สายน้ำขาวสว่าง


ทุกคนที่สนใจการถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นในกระแสดิจิตอล หรืออีกหลายๆคนที่กำลังเลี้ยวกลับมาสู่ระบบฟิล์ม มักจะได้ยินศัพท์การถ่ายภาพคำนึงอยู่แทบทุกวันคือ Contrast (คอนทราส) สำหรับผมแล้วผมจะใช้คำว่าคอนทราสต่างกันอยู่ในสองกรณีคือ คอนทราสของสิ่งที่เรากำลังจะถ่าย (Subject Contrast) และอีกอย่างหนึ่งคือคอนทราสของเนกาทีฟ (Negative Contrast) ที่เรานำไปใช้ขยายรูป แต่ขอให้ความหมายง่ายๆ ของคำว่า Contrast เอาไว้เสียก่อน เราใช้คำนี้เพื่อแสดงความสัมพันธ์ของความแตกต่างระหว่างส่วนมืดและส่วนสว่างของสิ่งที่เรากำลังจะถ่าย หรือที่ปรากฏบนฟิล์ม ทีนี้มาดูแยกกันเป็นกรณี

1. คอนทราสของสิ่งที่เรากำลังจะถ่าย (Subject Contrast)

คือความแตกต่างของปริมาณแสงที่สะท้อนจากวัตถุออกมา จากในส่วนที่เป็นส่วนมืดๆ หรือที่เรียกว่า Shadow ในซีน กับส่วนที่สว่างหรือ Highlight ยกตัวอย่างเช่น ส่วนเงาที่ทอดยาวของแจกันดอกไม้สีขาวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ กับส่วนโค้งของแจกันที่สะท้อนแสงออกมาเต็มที่ ในการถ่ายภาพให้ดีเราต้องใส่ใจกับสองค่านี้มากๆ นะครับ โดยเฉพาะส่วน Shadow เป็นส่วนที่การถ่ายฟิล์มขาวดำจะต้องให้ปริมาณแสงส่วนนี้มีปริมาณพอที่จะสร้างภาพลงบนฟิล์มได้นะครับ ภาพที่ไม่สามารถเก็บรายละเอียดส่วน Shadow ได้จะไม่ค่อยมีเสน่ห์ครับ มันดำเป็นปื้นๆ เวลาขยายลงบนกระดาษ ในส่วน Highlight ก็สำคัญเช่นกัน (แต่การรับมือกับส่วนสว่างนี้จะทำตอนล้างฟิล์มและช่วยได้ตอนขยายภาพ) ถ้าไม่สามารถเก็บรายละเอียดมาได้เมื่อขยายลงบนกระดาษเราจะเห็นสีขาวของเนื้อกระดาษโผล่ออกมาในภาพครับ

2. คอนทราสของเนกาทีฟ (Negative Contrast)

ความหมายคล้ายๆ กัน คือความต่างของความโปร่งแสงในเนกาทีฟ ของส่วนที่ใสและส่วนที่เข้ม ส่วนที่ใสในเนกาทีฟก็คือ Shadow และจะปรากฏบนกระดาษมืดๆ ในเนกาทีฟที่เป็นส่วนเข้มจะเป็น Highlight เมื่อขยายลงกระดาษจะออกไปทางโทนขาวๆ ส่วนที่จะมืดเท่าไหร่ สว่างเท่าไหร่นั้น เค้าเรียกกันว่า Shadow/Highlight Densities (พยายามจะเอาหลีกเลี่ยงคำศัพท์ให้มากที่สุดแล้วครับ แต่บางอย่างเลี่ยงไม่ได้ และจำเป็น เพื่อจะได้พูดภาษาเดียวกันต่อๆ ไป) Density บนเนกาทีฟที่เราเห็นก็คือชั้นบางๆของผลึกเงินที่ฉาบเอาไว้บนเนื้อฟิล์ม

ทีนี้มีข้อควรระวังอยู่อย่างหนึ่งคือถ้าเราวัดแสงส่วน Shadow อย่างถูกต้องแล้ว แต่เมื่อล้างฟิล์มออกมามีหลายๆ ส่วนในเนกาทีฟที่ใสเท่ากับเนื้อฟิล์ม (Film Base) แสดงว่าค่า ISO ที่เราใช้นั้นไม่เหมาะกับน้ำยาล้างฟิล์มและกระบวนการล้างฟิล์มที่เราใช้อยู่ (สมมติว่าใช้ ISO ที่ระบุไว้ที่กล่องฟิล์ม) คราวต่อไปเราควรจะลด ISO ช่วย เช่นจากที่ใช้ 400 อาจจะลดมา 320 หรือ 250 อันนี้ทางเทคนิคเรียกว่า Personal Film Speed หรือบางทีก็เรียกว่า Exposure Index (ความจริงค่า EI นี้เป็นสิ่งแรกที่เราต้องหาเสียก่อนเมื่อเราเลือกใช้ฟิล์มกับน้ำยาคู่ใดๆ จากนั้นจึงจะหาเวลาล้างฟิล์มที่ถูกต้อง วิธีการหาเอาไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟัง) โดยส่วนมากแล้วน้ำยาทั่วไปควรจะลด ISO ลง และล้างลดเวลาจากที่ในคู่มือน้ำยาแนะนำเล็กน้อย จะมีน้ำยาไม่กี่ตัวที่สามารถให้ Film Speed เต็มได้ เราควรจะใช้น้ำยาหนึ่งตัวกับฟิล์มหนึ่งตัวเป็นประจำ เอาไว้ทำงานที่หวังผลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเปลี่ยนตัวใดตัวนึงแต่ละครั้งต้องจับทางมันใหม่เสมอ

ทีนี้ขอเพิ่มอีกหนึ่งคำแทรกตรงนี้คือ Dynamic Range คำนี้ใช้ในแวดวงดิจิตอลนะครับ คือความแตกต่างระหว่างโทนมืดๆ กับโทนสว่างๆ ในภาพนั่นล่ะครับ และแสดงค่าออกมาในรูปกราฟฟิกที่เราคุ้นเคยกันคือ Histogram ทั้งจอหลังกล้องหรือโปรแกรมตกแต่งภาพต่างๆ

ที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วล่ะครับ ว่าจะทำให้ Subject Contrast ที่เราจะถ่าย ย้ายมาอยู่บนเนกาทีฟ เพื่อให้ได้ Negative Contrast ที่ถูกต้อง (ซึ่งความจริงมันสัมพันธ์กับ Negative Density อีกนะครับ ถ้าแบบซีเรียสเลยต้องใช้เครื่องมือวัดที่เรียกว่า Densitometer นะครับ) โดยต้องมองข้ามไปถึงกระดาษที่เราใช้ด้วยนะครับ บางคนอาจจะสร้าง Negative Contrast เพื่อลงกระดาษเกรด 2 หรือฟิลเตอร์เบอร์ 2 เป็นมาตรฐาน หรือบางคนอาจจะชอบใช้เกรด 3 ก็ได้ อันนี้แล้วแต่แนวของแต่ละคนที่ทำงานขยายรูปในห้องมืดครับ (หรือบางท่านอาจจะนำไปทำพวก Alternative Process อย่างอื่นซึ่งต้องการ Negative Contrast ที่แตกต่างกันไปแต่ละแบบอีก)

แสงประดิษฐ์ตามในโบสถ์เป็นอะไรที่รบกวนมาก ลดเวลาล้างลงหน่อยเพื่อได้รายละเอียดในส่วนที่แสงส่องสว่างมากๆ และแสงด้านนอกหน้าต่างที่แตกต่างอย่างมากกับแสงด้านในอีกด้วย

แล้วเราจะคุม Negative Contrast อย่างไรให้เข้ากับ Subject Contrast ล่ะครับ?

ทุกคนเวลาออกถ่ายรูปคงจะเคยเจอสภาพแสงที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลา แดดเปรี้ยงๆ บ้าง หรือฟ้าครึ้ม ฟ้าหลัว วันไหนแดดแรงก็คอนทราสสูง เพราะเงาจะดำเข้ม แสงสะท้อนต่างๆก็แรงมาก เนกาทีฟที่ออกมาส่วนเงานี่แทบจะใสไร้รายละเอียด วันไหนฟ้าหม่นๆ มองไม่เห็นตะวัน วันนั้นก็คอนทราสต่ำได้เนกาทีฟดูแบนๆ ชอบกล ปกติตามหลัก Zone System จะให้ความสำคัญคอนทราสของฟิล์มจากเงาถึงส่วนสว่างอยู่ที่ 5 Stop ดังนั้นก่อนถ่ายต้องเชคดูส่วนต่างของแสงจากเครื่องวัดแสง จากส่วนเงาที่ต้องการให้เห็นรายละเอียด ย้ำนะครับไม่ใช่ส่วนเงามืดสุด กับส่วนที่สว่างที่สุดเสีย ศัพท์อย่างเป็นทางการเค้าเรียกย่อว่า SBR หรือ Subject Brightness Range ก่อนเพื่อที่จะได้เลือกวิธีการล้างฟิล์มให้ถูกต้อง ว่าเกินหรือว่าต่ำกว่าช่วง 5 Stop ถ้าเกินต้องลดเวลาล้าง ถ้าต่ำกว่าต้องเพิ่มเวลาล้างช่วย (หลักการคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพนะครับ บางทีการบีบเอา Subject Contrast ที่กว้างมากๆ มาลงบน Negative Contast ก็อาจจะได้ภาพเทาๆ ตุ่นๆ นะครับ เพราะการไล่โทนที่กว้างถูกบีบเข้ามาจนแคบเกินไป ยังมีเทคนิกอีกหลายอย่างที่ต้องนำมาใช้ และขึ้นอยู่กับภาพในหัวของเราที่ต้องการให้ออกมาเป็นยังไง จินตนาการภาพไว้ก่อนนี่สำคัญที่สุดนะครับ)

เคล็ดวิชาของการเตรียมเนกาทีฟขาวดำครับ Expose for shadow, Develop for highlight จากบทความก่อนหน้า จะเห็นว่าเราจะทำงานง่ายกว่ามากถ้าถ่ายด้วยฟิล์มแผ่น แล้วนำไปล้างด้วยเวลาเฉพาะเจาะจง ทีนี้พอมาเป็นฟิล์มม้วน ถ้า 120 ก็ง่ายหน่อยเพราะจำนวนเฟรมน้อย อาจจะสามารถถ่ายในสภาพแสงเดียวกันหรือแตกต่างกันเล็กน้อยภายในม้วนเดียวกันได้ สามารถคุม Negative Contrast ได้ดีกว่าฟิล์ม 135 (หรือกล้องที่เป็นฟิล์มแมกกาซีนได้ยิ่งสะดวก โดยอาจแยกแมกกาซีนนึงเป็นสภาพแสง Normal อีกแมกกาซีนนึงเป็นสภาพแสงคอนทราสสูง หรือคอนทราสต่ำ แล้วไปล้างเพิ่มลดเวลาเอา) ในกรณีฟิล์ม 135 อาจจะใช้เทคนิค Minimal Agitation ช่วย (เพื่อไม่ให้ Highlight หนาเกินไปและเพิ่มรายละเอียดใน Shadow) ในบทความที่ผ่านมาผมทดลองกับน้ำยา Microphen ไม่ค่อยพอใจผลที่ออกมาเท่าไหร่เพราะเกรนไม่ค่อยสวย การเขย่าแบบนี้เหมาะกับน้ำยาพวก Kodak HC110 (Ilfotec HC) หรือไม่ก็ Rodinal เพราะน้ำยาพวกนี้ความเข้มข้นสูง พอผสมให้เจือจางมากๆ จะให้ผลออกมาดีมากับ Minimal Agitation
 
วิธีแก้ไขแรกในกรณีที่เจอวันฟ้าหม่นๆ มองไม่เห็นตะวัน ผมขอแนะนำให้เพิ่มเวลาล้างฟิล์มมากขึ้นจากปกติ แต่ข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งในการปรับเพิ่มเวลาล้าง โดยเฉพาะฟิล์มฟอร์แมตเล็กๆ อย่าง 135 คือพอเราเพิ่มเวลาล้างจากเวลาปกติ สิ่งที่ได้เพิ่มมาด้วยคือ เกรนที่หยาบขึ้น ผมไม่แนะนำให้ล้างเกิน N+1 (เอาคร่าวๆก็เพิ่มเวลาล้างประมาณ 20% ครับ) เพราะพอเกรนหยาบยิ่งต้องขยายใหญ่ (135 ขยายลงกระดาษ 8x10 นี่ประมาณสิบเท่าเลยนะครับ) ผลจะออกมาไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ พอเป็น 120 ขยายประมาณสี่เท่าผลที่ได้ยังสวยอยู่ แต่ฟิล์มแผ่นไม่ต้องห่วงครับเรื่องเกรนไม่ค่อยมีปัญหา เริ่มต้นหัดคุมคอนทราสให้สังเกต Shadow ในเนกาทีฟให้ดีนะครับ พอเพิ่มเวลาล้าง Shadow อาจจะหนาขึ้นหน่อยแล้วแต่น้ำยาแต่ละตัว ถ้าหนามากคราวต่อไปก็เพิ่ม ISO ตอนถ่ายเพื่อดึงให้ Shadow กลับไปที่เดิมนะครับ อันนี้เป็นการปรับโทนโดยรวมให้กลับไปใกล้เคียงการล้าง Normal เพราะเราล้างนานขึ้นโทนมันจะขยับขึ้นมาหมดครับ

ในทางตรงข้ามวันที่แดดจัดเงาเของวัตถุหากดำปี๋เลย หรือถ้าถ่ายคนตอนเที่ยงตะวันตรงหัว ผมแนะนำให้ลดเวลาล้างลง แต่นะครับแต่ สิ่งที่ต้องระวังคือ Shadow นะครับเพราะเมื่อล้างสั้นลง Shadow มันจะบางลงตามไปด้วย จากไม่ค่อยจะมีไรติดอยู่แล้ว (ล้าง N-1 จะลดเวลาล้างลงประมาณ 15%) ให้ชดเชยแสงเพิ่มโดยการลด ISO ลง เพื่อให้ส่วนเงาเรามีรายละเอียดกลับคืนมา และปรับโทนของภาพโดยรวมด้วยครับ 

ถ้ายังไม่ได้ขยับมาถ่าย Large Format ผมว่าคุม Negative Contrast ล้างเพิ่มหรือลดเวลาซัก N+1 หรือ N-1 จะได้ผลดีกว่าโดยรวมกับฟิล์มทั้งม้วน (Subject Contrast ที่หลากหลาย) แล้วไปแก้ไขอีกนิดหน่อยตอนขยายรูป เพราะในปัจจุบันเราใช้กระดาษแบบ Variable Contrast กัน แต่ก็อย่าคิดว่าถ่ายๆ ไปเหอะไปลุยในห้องมืดเสียอย่างเดียว กระดาษ VC มันก็มีข้อจำกัดเช่นกัน อีกทั้งจะต้องทำงานยากขึ้นอีกด้วย การเตรียมเนกาทีฟที่ดีมาจะทำให้การขยายรูปเราเพียงแค่บังๆเผาๆ นิดหน่อยก็ได้ภาพที่ดีออกมาแล้ว

ก่อนถ่ายม้วนต่อไปนั่งวิเคราะห์เนกาทีฟเก่าๆของเรา แล้วลองนำสิ่งที่ผมเล่ามาข้างต้นไปทดลองปรับใช้ดูนะครับ รับรองว่าจะได้เนกาทีฟที่ดีขึ้น ทำงานตอนขยายรูปได้ง่ายขึ้นครับ ได้เนกาทีฟใหม่มาก็วิเคราะห์ดูอีกครั้งนะครับ แล้วค่อยๆ ขยับเวลาล้าง ค่า ISO จนได้สิ่งที่เราพอใจ โทนภาพโดยรวมมันเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละคนนะครับ ปรับกันเองให้ได้อย่างใจต้องการ

หากสงสัย หรือโต้แย้งทิ้งข้อความไว้ด้านล่างได้นะครับ หรือถ้าคิดว่าพอจะมีประโยชน์ช่วยแชร์ต่อให้เพื่อนๆด้วยนะครับ


หมายเหตุ :
เวลาชดเชยการล้างของ N+1 หรือ N-1 เป็นการประมาณคร่าวๆ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามน้ำยากับฟิล์มแต่ละตัว การจะได้ค่าถูกต้องต้องทำ Film Test เสียก่อน แต่กับฟิล์มม้วนคิดว่าเพียงพอ เพราะทั้งม้วนจะมี Subject Contrast ที่หลากหลาย

อาจจะใช้น้ำยาประเภท 2 Bath (2 Bath Developer) ซึ่งมีอยู่มากมายหลายสูตร โดยน้ำยาจะแยกออกเป็นสองตัว Part A และ Part B แช่ฟิล์มลงใน Part A ตามเวลาแนะนำ ตามด้วย Part B จากนั้น Stop ด้วยน้ำเปล่าแล้วลง Fixer น้ำยาจำพวกนี้จะช่วยป้องกัน Highlight ไม่ให้หนาจนเกินไป (Blown Out) แต่ไม่ค่อยเหมาะในการล้างเพื่อเพิ่มคอนทราส

ตัวอย่างค่าฟิล์มสปีดกับน้ำยาแนะนำ รวบรวมมาจากฟอรั่มของฝรั่งนะครับ
  1. Tri-x ถ่ายที่ 320 กับน้ำยา D-76 ผสม 1:1
  2. Tri-x ถ่ายที่ 250 กับน้ำยา Rodinal ผสม 1:50
  3. Tmax 100 ถ่ายที่ 64 กับน้ำยา HC110 Dil B
ติดตามข้อมูลต่างๆ ได้ที่ ห้องภาพไทยศิลป์ ช่วยกัน Like ช่วยกัน Share นะครับ