เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า พอดีผมก็ค้นๆ รื้อๆ กระเป๋ากล้องแล้วดันไปเจอฟิล์มม้วนนึงถ่ายไว้แล้วยังไม่ได้ล้าง เป็นฟิล์ม Tri-x ฟอร์แมต 120 ซึ่งไม่ได้เขียน Note อะไรไว้เลย เอาล่ะสิทีนี้จะทำไง ถ่ายอะไรไว้ยังไง ถ่ายที่ EI เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ปกติผมจะใช้น้ำยาล้างฟิล์มประจำอยู่สามตัว ตัวแรกคือน้ำยาที่ต้องผสมเอง ตัวนี้ไม่มีวางขายคือ PC-TEA (ออกแบบโดย Patrick Grainer คนขาวดำคนนึงที่ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ NASA ด้วย) ตัวที่สองใช้ได้มาพอสมควร พอจะเข้าใจนิสัยใจคอกันได้แล้วคือ Ilfotec HC ชอบเพราะสะดวกไม่เปลืองดัดแปลงอะไรได้หลายอย่าง ทำงานคล้ายๆ HC110 ของ Kodak ส่วนตัวสุดท้ายพึ่งใช้ได้ไม่นานและติดใจมากคือ ID-68 (สูตรผสมเองเช่นกันใกล้เคียง Microphen ของ Ilford)
ฟิล์มม้วนที่ว่านี้คิดว่ายังไงก็ถ่าย EI ต่ำกว่า 400 ข้างกล่องแน่นอน เพราะฉะนั้น ID-68 ตัดออกไปได้เลย เพราะมันจะดันส่วน Shadow ขึ้นมาหนามากแน่ ปกติกับน้ำยาตัวนี้ผมจะถ่ายที่ EI 800 เหมาะกับเวลาที่ต้องใส่ฟิลเตอร์สีเหลืองซึ่งเสียแสงไป 1 Stop เป็นการชดเชยกันไป ส่วน PC-TEA ที่เหลืออยู่ก็ดำปี๋แล้ว ลองเทสกับหัวฟิล์มดู ยังสามารถทำให้เนื้อฟิล์มดำขึ้นมาได้อยู่แต่ไม่มั่นใจว่ามันยังทำงานเต็มร้อยอยู่หรือเปล่า ส่วนถ้าจะเอา Ilfotec HC ล้างแบบ Minimal Agitation คิดว่าน่าจะพอไปได้ วิธีนี้หมดห่วงเรื่อง Shadow ไปได้พอสมควร แต่ก็เสียวๆ เรื่องเวลาล้างว่าจะได้ Highlight ที่พอดีไม่หนาเกินหรือเปล่า เพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าถ่ายอะไรไว้ ลักษณะแสงเป็นแบบไหน (Subject Contrast)
พอดีช่วงนี้ศึกษาเรื่องการคุมคอนทราสของเนกาทีฟพอดี ผ่านๆ ตามาเรื่องน้ำยาแบบหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อใช้ช่วยเวลาเจอ Subject Contrast สูงๆ และฟิล์มม้วนโดยเฉพาะ 135 ที่ในม้วนนึงถ่ายมาสารพัดสภาพแสง น้ำยาที่ว่านี้เรียกว่า Two Bath Developer หลักการคือแยกน้ำยาออกเป็นสองส่วน A และ B โดยจุ่มฟิล์มในน้ำยา A ก่อน เมื่อครบเวลาก็จุ่มด้วย B ตามแล็วก้อ Stop และ Fix ตามปกติ สูตรตัวแรกสุดคิดค้นโดย Heinrich
Stoëckler ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองคือ Stoeckler Two Bath ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ Leica User กันเลยทีเดียว ต่อมา Ansel Adams ใช้หลักการเดียวกันมาพัฒนาต่อ โดยจับเอา D-23 ของ Kodak มาปรับปรุง กลายเป็นสูตรแบบ Two Bath และโดยการนำข้อดีข้อด้วยของสองสูตรดังกล่าวมาปรับปรุงโดย Barry Thornton ซึ่งเป็นช่างภาพและช่างขยายภาพด้วยเพื่อให้เหมาะกับฟิล์มรุ่นใหม่ๆ เค้าเขียนรายละเอียดไว้ในหนังสือ Edge of Darkness เอาไว้ หนังสือดีอีกเล่มที่ถ้าหาได้ลองหามาศึกษากันดูครับ ที่นี้มาดูสูตรแต่ละตัวกัน
สังเกตเห็นอะไรมั้ยครับ ทั้งสามสูตรนี่ใช้เคมีเพียงแค่สามตัวเท่านั้น ง่ายและประหยัดดีมั้ยครับ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันหน่อยทั้งสามสูตรนี้ยังใช้ได้ผลดีทั้งหมดนะครับ แต่ผมขอทดสอบกับสูตรที่สาม ของ Barry Thornton เพราะปรับปรุงมาค่อนข้างลงตัวกับฟิล์มรุ่นใหม่ๆ ที่เนื้อฟิล์มค่อนข้างบางกว่าฟิล์มสมัยก่อน และตัวเค้าเองบอกว่าสูตรของเค้าให้คอนทราสที่ดีกว่า ได้ความคมชัดที่ดีกว่า
หลักการทำงานของมันจะเห็นว่าใน Bath A ของทุกสูตรจะมี Metol ซึ่งทำหน้าที่เป็น Developing Agent และตัว Preservative ในที่นี้จะเป็น Sodium Sulfite (หน้าที่แต่ละตัววันหลังคงได้เล่าให้ฟัง) ส่วนตัว Accelerator จะถูกแยกออกเอาไปไว้ใน Bath B ต่างหาก ผลลัพธ์อย่างนึงคือ แต่ละส่วนเก็บไว้ได้นานมากๆ ไม่เสียง่ายไงครับ และการที่มีแต่ Metol กับ Sulfite ทำให้ได้เกรนที่ละเอียด ความเป็นกรดต่ำ
เมื่อเราเทน้ำยา Bath A ลงในฟิล์ม ฟิล์มจะเริ่มดูดซับเคมีเข้าไว้ในเนื้อฟิล์ม ผมคิดว่าอาจจะมีการสร้างภาพเกิดขึ้นในขั้นตอนนี้บ้าง แต่น่าจะอย่างช้าๆ เสร็จแล้วเมื่อครบเวลาเทน้ำยา Bath A ออก แล้วเทน้ำยา Bath B เข้าไปแทน ขั้นตอนนี้น่าจะเป็นการสร้างภาพขึ้นมาอย่างชัดเจน เพราะน้ำยาจาก Bath A ที่เนื้อฟิล์มดูดเอาไว้จะเริ่มทำปฏิกิริยากับ Sodium Metaborate เกิดอัตราการสร้างภาพที่เร็วขึ้น เพราะค่าความเป็นกรดทีสูงใน Bath B การสร้างภาพบริเวณ Highlight จะสูงมากปฏิกิริยาเคมีบริเวณนี้จะทำให้น้ำยาหมดสภาพอย่างรวดเร็ว แต่ในส่วน Shadow ปฏิกิริยาจะเกิดอย่างช้าๆ หลักการคล้าย Minimal Agitation นั่นล่ะครับ ขณะที่ Highlight หยุดสร้างภาพ หรือช้ามากๆ ทางด้าน Shadow ก็ยังทำการสร้างภาพต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ได้ Shadow Detail ที่ดี และ Highlight ที่พอดีไม่หนาเกินไป ทำให้โดยรวมแล้วได้การไล่โทนในเนกาทีฟที่สวยงาม การไล่โทนที่ดีในเนกาทีฟนี่ล่ะครับ ที่ทำให้ภาพดูมีมิติ เวลาที่เราเอามาปรินท์ลงกระดาษ โดยเฉพาะโทนกลาง ลองเทียบดูได้นะครับ รูปที่อัดลงกระดาษจะไล่โทนกลางได้สวยกว่าการสแกนฟิล์มมากๆ
สังเกตตรงกลีบขาวๆ ของดอกฝิ่นดูนะครับ เก็บรายละเอียดและคอนทราสได้ดีทีเดียว |
เข้าใจการทำงานไปแล้ว ทีนี้มาดูวิธีล้างฟิล์มโดยน้ำยาแบบ Two Bath กันนะครับ ข้อควรระวังอย่างแรกเลยคืออย่าทำ Prewash ฟิล์มก่อนนะครับ เพราะเราต้องการให้เนื้อฟิล์มดูดซับเอาน้ำยาใน Bath A เอาไว้ให้เต็มที่ (เพื่อปฏิกิริยาทางเคมีที่ดีที่สุดเมื่อเราใส่ Bath B ลงไป) ขั้นตอนแรกเหมือนกับการล้างฟิล์มโดยทั่วไปครับ เตรียมน้ำยาต่างๆ ไว้ที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส อุณหภูมินี้เป็นค่าแนะนำจาก Barry Thornton เลยนะครับ เมื่อโหลดฟิล์มใส่แทงค์พร้อมแล้ว เทน้ำยา Bath A เข้าแทงค์ วิธีการเขย่าต่างๆ ก็เหมือนกับการล้างฟิล์มด้วยน้ำยาปกติ อย่างของผมก็เขย่าด้วยการพลิกแทงค์กลับด้านต่อเนื่อง 30 วินาทีแรก กระแทกแทงค์เบาๆ สองสามครั้งกับโต๊ะเพื่อไล่ฟองอากาศที่อาจเกิดขึ้นและเกาะอยู่ที่เนื้อฟิล์ม จากนั้นก็พลิกแทงค์ 10 วินาทีทุกๆ 1 นาที ผมใช้เวลาตามที่แนะนำคือ 4 นาทีนะครับกับ Bath A ครบเวลาเทน้ำยาออกเก็บไว้นะครับ ไม่ต้องเททิ้ง เพราะน้ำยาแบบนี้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้เรื่อยๆ ครับ Barry แนะนำว่าประมาณ 15 ม้วนค่อยเททิ้งนะครับและจะใช้ได้มากกว่านี้ถ้าหมั่นเปลี่ยน Bath B
พอเท Bath A ออกแล้ว เติม Bath B ลงในแทงค์ต่อได้เลยนะครับ อย่าไปเติมน้ำยา Stop หรือน้ำเปล่าเด็ดขาด การเขย่ากับ Bath B ผมจะพลิกแทงค์กลับไปมา 30 วินาทีแรกแล้วกระแทกแทงค์เพื่อไล่ฟองอากาศ จากนั้นอีกสองนาทีถึงจะพลิกแทงค์ประมาณ 10 วินาที คือเอา Minimal Agitation มาใช้กับ Bath B เพื่อให้การเกิดปฏิกิริยาที่ Highlight เกิดน้อยที่สุด ความจริง Barry บอกว่ากับฟิล์ม 120 ซึ่งไม่มีหนามเตยไม่จำเป็นต้องเขย่าแทงค์เลยใน Bath B แต่กับ 135 ที่มีหนามเตยอาจมีผลกับฟิล์มบริเวณขอบๆ หนามเตยนะครับ เค้าเตือนไว้ ผมใช้เวลาเท่ากันกับ Bath A เลยนะครับ 4 นาทีเท่ากัน ใน Bath B นี่ล่ะครับที่กระบวนการสร้างภาพเกิดขึ้น Barry บอกว่า Two Bath ของเค้านี่จะให้เนกาทีฟไม่เหมือนกับกระบวนการ Compensating development ที่ใช้น้ำยาเจือจางสูงๆ ล้างนานๆเขย่าน้อยๆ นะครับ เค้าเคลมว่า Midtone ที่ได้จากน้ำยาแบบนี้จะสวยกว่าไม่ตันๆ แบนๆ แล้ว Shadow ก็ดูมีมิติมากกว่าด้วย
เอาล่ะครับครบเวลาเทน้ำยา Bath B ออกจะเก็บไว้ใช้ต่อก็ได้นะครับ แต่ผมเททิ้งเลยเพราะ Bath B เตรียมง่ายและราคาต่ำมากๆ เพื่อความมั่นใจส่วนตัวในกรณีล้างม้วนต่อไปนะครับ ถ้าเก็บไว้ก็ใช้ได้ประมาณ 15 ม้วนนะครับ Stop แล้วก้อ Fix ตามปกติครับ ส่วนตัวผมใช้ Water Stop Bath ครับ
Mid Tone สวยจริงครับ ดูน้ำมีมิติดีมาก |
สรุปข้อดีของการล้างฟิล์มแบบ Two Bath ที่ผมมองเห็นนะครับ
- หลักๆเลย ฟิล์มทั้งม้วนมี Negative Contrast ที่บาลานซ์กันได้ดีมากๆ ในแต่ละเฟรมซึ่ง Subject Contrast ต่างกัน เอาไว้จะลอง Contact ปรินท์ดูอีกทีนะครับดูเนกาทีฟผ่านๆ ด้วยตาน่าจะขยายลงกระดาษประมาณเกรด 2 และ 3
- ผมว่า Mid Tone สวยดีนะครับการไล่โทนกลางที่ดีจะทำให้รูปที่ขยายออกมามีมิติที่ดีขึ้นมากๆ
- แน่นอนครับ Shadow Detail ดี ถ้าหาค่า EI ดีๆ อีกทีหมดห่วงได้เลย
- สมมติว่าเราถ่ายฟิล์มหลายยี่ห้อ หลายรุ่น สามารถรวมกันล้างในแทงค์เดียวกันทีเดียวได้เลยประหยัดเวลาไปได้มากเลยล่ะครับ
- ประหยัดน้ำยาด้วยครับ Bath A เก็บได้นานวนกลับมาใช้ได้เรื่อยๆ เพราะมันแค่มีหน้าที่เอาไปให้ฟิล์มดูซับเอาไว้เท่านั้น ไม่เสียสภาพทางเคมี ส่วน Bath B ถึงแม้ผมจะเททิ้งเลยก็ถือว่าถูกมากๆ ครับ ผสมใหม่ง่ายเพราะละลายง่ายมาก
- การคุมอุณหภูมิ ไม่ค่อยซีเรียสมากนะครับ และทำได้ง่ายขึ้นเพราะคุมแค่ช่วงสั้นๆ ในแต่ละตัว
- ผมว่าเหมาะกับมือใหม่หัดล้างฟิล์มมากๆ เพราะโอกาสที่ฟิล์มจะเสียน้อยมาก โอกาสได้รูปสูง ถ้าคุณไม่วัดแสงผิดมามากๆ นะครับ
วันที่ฟ้าขาวๆ มีแต่เมฆ เก็บรายละเอียดใช้ได้ครับ ตอนอัดลงกระดาษเราเผาเพิ่มรายละเอียดได้อีก |
เป็นไงล่ะครับ คิดว่าจะพอเป็นน้ำยาอีกระบบหนึ่งที่ต้องมีติดห้องมืดไว้หรือเปล่าครับ สำหรับผมคราวต่อไปถ้าผมถ่าย 135 ล่ะก้อ ผมเลือกล้างฟิล์มด้วย Barry Thornton Two Bath แน่นอนครับ เพราะม้วนนึงของผมมันไปซะหลายที่ หลายเวลา หลายสภาพแสง กว่าจะหมดม้วนได้ อีกทั้งเกรนกับความคมชัดที่ได้ผมว่ามันกำลังพอดีลงตัวกัน ฟิล์มเล็กๆ อย่าง 135 นี่ความจริงแล้วปราบเซียนนะครับสำหรับความคิดผม ที่จะทำออกมาให้ดี โดยเฉพาะเมื่อต้องไปอยู่บนกระดาษ เอาไว้ได้ลองแล้วจะเอามาเล่าให้ฟังอีกที
อ้อ Barry เค้าแถมให้อีกหน่อยนะครับ Two Bath ของเค้าช่วยเรื่อง Zone System ได้นิดหน่อยครับ คือถ้าต้องการล้าง N-1 ให้ลด Sodium Metaborate ใน Bath B เหลือ 7 กรัม ถ้าอยากได้คอนทราส N+1 ก็เพิ่ม Sodium Metaborate ไปเป็น 20 กรัมนะครับ แต่อย่าลืมว่าเป็นการปรับคอนทราสทั้งม้วนเลยนะครับ
ขออภัยรูปประกอบคราวนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะฟิล์มม้วนนี้ที่ลืมก็เป็นเพราะ ถ่ายเรื่อยเปื่อย จากยอดดอยไปถึงทะเลนู่น มิน่าถึงไม่ได้เขียนโน๊ตไรทิ้งไว้ที่ฟิล์มเลย คิดว่าคงมีตอนต่อไปกะน้ำยาตัวนี้นะครับ แต่จะลองกับฟิล์มแผ่นดูบ้าง ว่าเอามาใช้กับ Zone System จะไปไหวหรือเปล่า ติดตามกันนะครับ