Friday, 23 May 2014

Minimal Agitation เขย่าน้อยลง ได้ผลดีมากขึ้น?

ภาพนี้สภาพแสงที่ส่วนมืดกับส่วนสว่างจากหลอดไฟต่างกันเยอะมาก ได้ผลน่าพอใจทีเดียว

ระยะหลังนี้ผมไม่ค่อยถ่ายภาพในฟอร์แมต 135 (หรือบ้างเรียก 35 mm) เท่าไหร่นัก จะถ่าย Medium Format เป็นหลักมากกว่า เพราะเริ่มถ่ายน้อยลง สำหรับผมม้วนนึงซัก 12 รูปนี่กำลังดีเลย ไม่ต้องคาฟิล์มไว้ในกล้องนาน หรือว่าตะบี้ตะบันกดๆ ไปให้หมดม้วนเพื่อจะได้ถอดล้าง สลับกับหัดถ่าย LF บ้างนิดหน่อย เพราะชอบทำงานช้าๆ กับกล้องเพื่อเก็บภาพทีละใบแล้วใส่ใจกับการล้างฟิล์มใบนั้นๆ และคิดว่าหลายๆคน ที่พอข้ามไปใช้ฟอร์แมตที่ใหญ่กว่า แล้วได้เห็นเนกาทีฟที่ล้างออกมาก็คงไม่อยากกลับมาใช้ฟอร์แมตที่เล็กกว่าแน่นอน แต่บางทีบางสถานการณ์ การกลับมาใช้ฟอร์แมต 135 ที่คล่องตัวกว่า จำนวนภาพต่อม้วนที่มากกว่าก็เหมาะสมกว่า ช่วงนี้ผมปัดฝุ่นเอา eos 30V ติดเลนส์ 17-40 f4 L ออกมาใช้งานใหม่ แต่คราวนี้ผมคิดไปถึงเรื่องการล้างฟิล์มเพื่อให้ฟิล์มที่พื้นที่เล็กๆ นี้มีคุณภาพมากที่สุด

ด้วยข้อจำกัดของฟิล์มขนาด 135 ทั้งเรื่องของขนาด (พื้นที่ของฟิล์มที่ใช้งานจริงๆ คือ 24x36 mm เท่านั้น) และในหนึ่งม้วนนี่เรียกว่าถ่ายภาพที่มีความหลากหลายทั้งสภาพแสงและคอนทราสต่างๆกันไป ทั้งกลางแดดบ้าง ในร่มบ้าง หรือสภาพแสงน้อยๆ บ้าง อีกทั้งยังข้อจำกัดในการขยายภาพลงบนกระดาษอีก ปกติผมจะขยายภาพลงบนกระดาษขนาด 8x10 นิ้ว กับฟิล์ม 135 นี่เท่ากับเราขยายมันขึ้นเกือบๆ สิบเท่า (10x) แล้วนะครับ ยิ่งถ้าเกิดรูปไหนอยากขยายลงกระดาษขนาด 11x14 นิ้วด้วยแล้ว ถ้าไม่เตรียมฟิล์มให้มีคุณภาพที่สุดแล้วเวลานำไปขยายจะต้องแก้ปัญหาต่างๆ มากมาย ซึ่งบางครั้งเสียเวลากว่าการถ่ายและล้างฟิล์มหลายเท่าตัว


ฟิล์ม Ilford Hp5+ ม้วนนี้ถ่ายมาหลากหลายสภาพแสง
ไม่ว่าจะกลางวันกลางแจ้ง กลางคืนในอาคาร นอกอาคาร
พอดีหลังจากที่ได้เดินลัดเลาะตามซอกซอยแห่งเส้นทางขาวดำทำมือ ผมมาติดใจน้ำยาตัวนึงของ Ilford ชื่อ ID-68 ที่คิดว่าเทียบเท่ากับ Microphen ผมเป็นคนที่ชอบน้ำยาสูตรที่ใช้ Phenidone แทน Metol อยู่แล้ว (PQ Developer) เพราะโดยส่วนตัวเห็นว่ามันช่วยเพิ่ม Speed ให้กับฟิล์มได้ (โดยปกติแล้วถ้าเราถ่ายที่ Box Speed สังเกตุให้ดีนะครับว่ารายละเอียดในส่วนเงามืด หรือโซนต่ำๆ แทบจะไม่มีให้เห็นในเนกกาทีฟเลย โดยเฉพาะส่งล้างตามแลปรูปด่วนทั่วไป) ผมชอบน้ำยาของ Ilford ตัวนี้เพราะ Film Speed ไม่เสียเลย กับฟิล์มบางตัวอย่างเช่น Tri-x ยังได้เพิ่มเป็น 800 ด้วยซ้ำ สามารถใช้ล้างฟิล์มที่ถ่ายที่ Box Speed ได้ทุกตัวครับ เหมาะกับคนที่ยังไม่เข้าใจการหาค่า Exposure Index (EI) ของตัวเอง ราคาอาจจะสูงหน่อยแต่มีวิธีการล้างแบบวนซ้ำใช้ซึ่งไว้วันหลังมีโอกาสจะเอามาเล่าอีกครั้ง หรือจะผสมเองแบบผมก็ได้ หาสูตรได้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ต 

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของน้ำยาตัวนี้คือเป็นน้ำยาล้างฟิล์มแบบเกรนค่อนข้างละเอียด (fine-grain) เมื่อเทียบกับความคมชัดที่ดี สามารถผสมน้ำอัตราส่วน 1:1 หรือ 1:3 ก็ได้ โดยยิ่งเจือจาง ยิ่งได้ความคมที่ดีขึ้น (acutance) และการไล่โทนที่สวยอีกด้วย แต่เป็นน้ำยาคนละประเภทกับพวก High Definition นะครับ พวกนั้นออกแบบมาให้ความคมชัดสูงมากๆ เพราะทำงานกับเกรนอีกแบบหนึ่ง แต่มีดีย่อมมีเสีย ข้อเสียของน้ำยาที่เป็นพวก PQ นี้จะทำให้เบสฟิล์มที่ได้ขุ่นมากกว่า (fog) อาจจะดูแปลกตากับคนที่ไม่เคยใช้น้ำยาพวกนี้มาก่อน แต่ไม่มีผลกับการอัดขยายนะครับ ถ้าเราล้างได้ถูกเวลาก็จะได้คอนทราสที่ถูกต้อง
ลองทดลองอีกครั้งกับสภาพแสงที่ค่อนข้างซับซ้อน โทนสว่างสวยทีเดียว

จากคุณสมบัติของน้ำยาที่กล่าวไป ทำให้ผมคิดว่าถ้านำมาใช้กับฟิล์ม 135 น่าจะทำให้ได้เนกาทีฟที่ดีขึ้น ทีนี้ก็ลองมาคิดถึงวิธีการล้างดูบ้าง เป้าหมายผมสำหรับฟิล์ม 135 คือเกรนต้องไม่หยาบ เพราะต้องขยายรูปที่กำลังขยายสูงมาก ความคมต้องดี รายละเอียดต่างๆ ในส่วนมืดต้องปรากฏไม่ดำเป็นปื้นๆ และด้วยหลายๆ สภาพแสงในหนึ่งม้วน รูปที่ถ่ายกลางแจ้งอาจจะมีปัญหาในส่วนของไฮไลท์ที่อาจจะเข้มเกินไปทำให้เกิดปัญหาตอนขยายรูป ต้องสามารถคุมไฮไลท์ตรงนี้เอาไว้ให้ได้ด้วย (ความจริงมีน้ำยาอีกหลายสูตรที่แก้ปัญหา Highlight โดยตรงเหมือนกันนะครับ แต่ต้องแลกกับเสียอย่างอื่นไป)

Ansel Adams แนะนำไว้ในหนังสือ Negative ของเค้าไว้ว่า การใช้ฟิล์มแบบม้วน Roll Film ที่ถ่ายสภาพแสงต่างๆ กัน ควรจะล้างลดเวลาลงเพื่อป้องกัน Highlight เอาไว้ (ให้ล้างแบบ N-1) ซึ่งการลดเวลาล้างลงย่อมมีผมกับความเข้มของเนกาทีฟในส่วน Shadow ไปด้วย คือทำให้รายละเอียดเงามืดหายไป Ansel Adams แนะนำว่าควรใช้การล้างแบบ Minimal Agitation เข้าช่วยในกรณีแบบนี้ ข้อดีคือรายละเอียดและความเข้มในส่วนเงายังคงดีอยู่ ขณะเดียวกันก็ช่วยทำให้ส่วน Highlight ไม่เข้มมากจนเกินไป Minimal Agitation คือการล้างโดยการลดการเขย่าแทงค์ลง อย่างในปกติเราจะเขย่าแทงค์ทุกๆ หนึ่งนาที ก็ให้ยืดเวลาเป็นเขย่าทุกๆ สามนาทีแทน และอาจจะลดจำนวนการเขย่าลงด้วย อย่างเช่นรอบละสี่ครั้ง ก็อาจจะลดเหลือแค่สามครั้ง แล้วการเปลี่ยนวิธีนี้มันเกิดอะไรขึ้น?

เมื่อเราเทน้ำยาใส่ในแทงค์ ฟิล์มเริ่มสัมผัสกับน้ำยา ในส่วนที่เป็นไฮไลท์ ในตอนถ่ายส่วนนี้จะรับแสงมาก น้ำยาต้องทำปฏิกิริยาเคมีสร้างภาพบริเวณนี้สูงมาก ทำให้น้ำยาหมดฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ส่วนในบริเวณที่ได้รับแสงน้อยในฟิล์ม (Shadow) การสร้างภาพจะเกิดปฏิกิริยาน้อยกว่า ทำให้น้ำยาบริเวณนี้ยังทำงานได้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นภาพการทำงานทางเคมีที่เกิดขึ้นแล้ว โดยปกติเราต้องเขย่าแทงค์เพื่อให้น้ำยาเคลื่อนที่ ให้น้ำยาที่ใหม่กว่าเข้าแทนที่เพื่อสร้างภาพที่บริเวณ Highlight โดยปกติเราก็จะเขย่าให้น้ำยาวนเข้าไปใหม่ทุกๆ นาทีจนกว่าจะครบตามเวลาที่ต้องการ

ทีนี้พอเราเปลี่ยนการเขย่าเป็นทุกๆ สามนาที น้ำยาบริเวณ Highlight จะหมดฤทธิ์ไปละ แต่ที่ Shadow มันยังคงทำงานสร้างภาพต่อไปเรื่อยๆ เท่ากับว่าทุกๆ สามนาทีเราชะลอการสร้างภาพที่ Highlight และเพิ่มการสร้างภาพที่ Shadow เหมือนกับเรากำลังพยายามบาลานซ์อัตราการสร้างภาพของทั้งสองส่วนให้มากขึ้นกว่าการเขย่าแบบปกติ แต่อย่าลืมว่าเรากำลังลดการสร้างภาพที่ Highlight ลง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเพิ่มเวลาในการล้างมากขึ้น เวลาแนะนำในการเริ่มต้นทดลองคือเพิ่มขึ้นอีก 50% ของเวลาปกติที่เราใช้ล้างในการเขย่าแบบปกติ (จะแตกต่างกันไปตามชนิดของฟิล์ม และน้ำยาที่เลือกใช้ร่วมกัน) ผลที่ได้คือในส่วน Shadow จะเกิดรายละเอียดและคอนทราสที่ดีเพิ่มมากขึ้น  และยังสามารถกด Highlight เอาไว้ไม่ให้หนาจนเกินไปอีกด้วย ในความเข้าใจของผมเองกระบวนการแบบนี้และผลที่ได้ออกมา ฝรั่งเค้าเรียกว่า Compensation Effect คนละอย่างกับกระบวนการ Push นะครับ การ Push เป็นการ Under expose แล้วทำการ Over develop ซึ่งแน่นอนการเพิ่มเวลาล้างนั้นทำให้เกรนหยาบขึ้นอย่างแน่นอน และรายละเอียดในส่วนเงามืดจะไม่ค่อยมีเพราะฟิล์มรับแสงไม่พอที่จะเกิดภาพได้
การไล่โทนในโซนต่ำยังมีรายละเอียดและคอนทราสที่ดี

ครั้งนี้เรามีตัวแปรที่เล่นอยู่คือ การเขย่า กับน้ำยาที่มีคุณสมบัติเพิ่ม Film Speed ผมยังไม่อยากเปลี่ยน Dilution ของน้ำยาเป็น 1+3 เพราะอยากเห็นแค่ผลของการเปลี่ยนการเขย่าเสียก่อน ไว้โอกาสหน้าคงได้ลองกัน จากการเปลี่ยนการเขย่าแบบนี้ ผมขอสรุปว่าเราได้ Shadow Detail และ Shadow Contrast ที่ดีขึ้น ซึ่งแน่นอนเมื่อส่วนเงาเนื้อหนังมีเพิ่มมากขึ้นย่อมแสดงว่าเราได้ Film Speed เพิ่มมากขึ้น อย่างรูปประกอบต่างๆ ในที่นี้ผมใช้ Hp5+ ถ่ายที่ EI 800 กับฟิล์ม 120 ก็ทำให้ทำงานง่ายยิ่งขึ้นโดยเฉพาะกับกล้องแบบ TLR ที่ผมใส่ฟิลเตอร์สีเหลืองเพิ่ม ซึ่งต้องเสียแสงไปอีก 1 Stop หรือกับกล้อง Slr ที่เลนส์ไม่ได้ไวแสงมากนัก ก็ใช้ถ่ายในสภาพแสงน้อยๆ ได้อย่างดี และได้ภาพที่มีรายละเอียดในส่วนมืดๆ ได้อย่างดี ส่วนเรื่องเกรนนั้นถือว่าพอใช้ได้กับฟิล์ม 135 แต่ความสัมพันธ์อย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าคุณต้องการความคมมากขึ้น คุณต้องการเกรนที่ใหญ่ขึ้น เพราะความคมที่เกิดขึ้นมันเกิดจากเกรน อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ณ ตอนนี้นะครับ อีกหน่อยพอเจออะไรมากขึ้น อาจจะมีข้อมูลใหม่ก็ได้

บทความนี้อาจจะออกไปทางด้านเทคนิคมากเกินไปหน่อย แต่ผมคิดว่ามันสำคัญต่อคนที่คิดจะเริ่มล้างฟิล์มเอง จะได้มองเห็นภาพว่าไอ้ที่เราได้เรียนรู้มานั้นทำไปเพื่ออะไร แล้วมันเกิดผลอย่างไร น้ำยากับฟิล์มมันทำงานร่วมกันอย่างไร เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับแต่ละคนได้ต่อๆไป
แถมซักใบ ภาพนี้จากฟิล์ม 120 ฟอร์แมต 645 นะครับจะเห็นว่าการไล่โทนดีกว่าฟิล์มเล็กๆ มาก
(กลายเป็นสีซีเปียได้อย่างไรไม่ทราบ น่าจะเป็นข้อผิดพลาดของโปรแกรมสร้าง Blog)

ภาพประกอบทั้งหมดผมสแกนจากเนกาทีฟนะครับ (รู้สึกว่าความแน่นของเกรนไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ คงต้องทดสอบอีกซักม้วนนึงกับน้ำยาที่ผสมสดๆ อีกครั้ง) ยังไม่มีโอกาสขยายลงบนกระดาษ ไว้มีเวลาจะขยายแล้วสแกนมาลงกันใหม่นะครับ แต่ผมพยายามปรับให้ส่วนในเงามืดมีน้ำหนักใกล้เคียงกับที่อยู่ในเนกาทีฟมากที่สุดเท่าที่ทำได้ สุดท้ายสิ่งไหนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ หรืออยากโต้แย้งเชิญคอมเมนท์ทิ้งไว้ได้เลยครับ การโต้เถียงกันให้เกิดความรู้ใหม่ๆ ยินดีเสมอครับ หรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลต่างๆ สามารถทำได้เสรีในพื้นที่แห่งนี้ครับ


The production of a perfect picture by means of photography is and art. 
The production of a technically perfect negative is a science.

--- Ferdinand Hurter

Friday, 16 May 2014

โลกแห่งขาวดำทำมือ


ตาของเราทุกคนมองโลกสวยใบนี้เต็มไปด้วยสีสันทุกๆวัน จนบ้างครั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นๆ กันมันดูชินตาไปเสียหมด ผมมีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นที่ได้เห็นรูปขาวดำจากฝีมือ พ่อ แม่ ตา ยาย มาตลอด แรกๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนักตามประสาเด็ก พอเริ่มหัดใช้กล้องก็ถ่ายแต่ฟิล์มสี จนเข้าสู่ยุคดิจิตอล ผมก็เป็นคนหนึ่งที่หลงเข้าสู่่กระแสของมัน กล้องตัวแรก Canon EOS 10D ตอนนั้นจำได้ว่าจ่ายไปเฉพาะตัวกล้องเจ็ดหมื่นกว่าบาทกับกล้องความละเอียด 6 ล้านพิกเซล ศึกษาการเตรียมไฟล์ แต่งไฟล์ต่างๆ จนพอเอาตัวรอดได้ รวมทั้งเรื่องการจัดการสี แต่พอมาถึงวันนึง เกิดความรู้สึกว่าข้อดีต่างๆ ของระบบดิจิตอลนั้น มันดี มันง่ายเกินไป จนไร้ค่า ไม่มีสิ่งใดน่าจดจำ 

ในช่วงปลายของยุคฟิล์มที่ทุกคนวิ่งเข้าหาถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ของดิจิตอล ผมกลับค่อยๆ พาตัวเอง เดินเข้าสู่ตรอกซอกซอยแห่งโลกของ "ฟิล์ม" อย่างเต็มตัว โดยเฉพาะโลกของ "ขาว-ดำ" โลกใบนี้ไม่ได้ใช้ตาเนื้อมอง มันใช้ตาภายในมองต่างหาก สีสันต่างๆ ถูกตัดลดออก ผมต้องหัดมองโลกในแบบที่กล้องถ่ายรูปมองคือมองทุกอย่างเป็นโทนความเข้ม ความสว่างต่างระดับไล่เรียงกันไป

การจะถ่ายรูปขาวดำซักรูปนั้น มาสเตอร์ทั้งหลายพร่ำบอกเสมอว่า คุณต้องจินตนาการให้ได้ว่าภาพที่กำลังจะถ่ายนั้น เมื่อมันไปอยู่บนกระดาษแล้ว มันจะเป็นยังไง (Previsualized) แรกๆ ผมไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้ เพราะเราไม่ได้เริ่มถ่ายภาพมาจากแนวขาวดำแต่แรก ถ่ายไปล้างฟิล์มไป เหมือนกับที่ถ่ายฟิล์มสี คือแค่วัดแสงให้ได้ค่า Exposure ที่ถูกต้องเท่านั้น ดูในเนกาทีฟก็สวยดี เวลานำเนกาทีฟไปสแกน หรือขยายรูปในห้องมืด ก็ได้รูปไม่ค่อยเกิดปัญหา แต่พอวันนึงมานั่งดูรูประดับมาสเตอร์ทั้งหลาย เปรียบเทียบกับรูปตัวเองแล้ว รู้สึกได้ทันทีว่ารูปของเราไม่มีพลังพอ มันเป็นได้แค่รูปที่ดี แต่ยังไม่เป็นรูปที่เยี่ยม 

ผมพลาดตรงไหนเหรอ? จากที่เราศึกษาจากตำรับตำรามาหลายเล่ม หลายๆแหล่ง ผมมองข้ามเทคนิคหลายๆ อย่างที่เรารู้แต่เราไม่ทำ เราคิดว่ามันไม่น่าจำเป็น ผมทบทวนทุกอย่างใหม่หมด เริ่มต้นอ่านใหม่อย่างละเอียด พักการออกไปถ่ายรูปเอาไว้ก่อน เริ่มจากการปรับระบบขยายรูปในห้องมืดใหม่ นำเนกาทีฟเก่าๆ ที่ถ่ายไว้มาขยายใหม่ตามเทคนิคต่างๆ ในตำรา แน่นอนงานออกมาดีมากขึ้น ผมเริ่มเรียนรู้ว่าเทคนิคในห้องมืดนั้นช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าต้นทางมาไม่ดี งานที่ได้ก็ยังไม่สุดยอด ผมนึกถึงคำกล่าวนึงได้ Garbage in, garbage out ผมมองย้อนกลับมาที่เนกาทีฟ กลับไปทบทวนกระบวนการล้างฟิล์มใหม่โดยอิงกับ Zone System ซึ่งเป็นระบบที่มีมานานแต่ผมไม่ค่อยจะศรัทธามันเท่าไหร่ ผมเริ่มหาเวลาออกถ่ายรูปใหม่ แต่คราวนี้ถ่ายน้อยลง แต่คิดมากขึ้นก่อนถ่าย เอาฟิล์มกลับมาทดลองล้างด้วยเทคนิคใหม่ๆ เนกาทีฟที่ได้ออกมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังมีบางอย่างที่ยังขาดหายอยู่

ผมย้อนตัวเองมาหัดถ่ายรูปใหม่ ใช้หลัก Previsualized กับ Zone System มองซีนที่จะถ่าย แล้วจินตนาการว่าจะให้น้ำหนักของภาพเป็นยังไง จุดเด่นอยู่ที่ไหน จะนำสายตาไปสู่จุดเด่นได้อย่างไร วัดแสงจุดต่างๆ ของภาพเพื่อเชคดูว่าส่วนที่แสงน้อยสุดต่างกับส่วนที่สว่างที่สุดเท่าไหร่ ผมเริ่มไม่ถ่ายอย่างที่ตาเห็น แต่ถ่ายอย่างที่เกิดภาพขึ้นมาในใจ ตามอารมณ์และความรู้สึกขณะนั้น บางทีอาจจะมืดกว่า หรือสว่างกว่าที่ตาเรามองเห็น อย่างในภาพน้ำตกนี้จะว่าไปเป็นภาพแรกที่ผมตั้งใจใช้เทคนิคต่างๆ ที่ได้กลับไปศึกษาเรียบเรียงความคิดตัวเองใหม่เอามาใช้ ผมถ่ายตอนเย็นที่ท้องฟ้าหม่นๆ ประมาณสี่โมงครึ่ง แสงแดดที่ส่องลงตรงๆ ที่น้ำตกไม่เหลือแล้ว เรียกง่ายๆ ว่าคอนทราสต่ำมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็อาจจะวัดแสงตกกระทบ แล้วตั้งค่าถ่ายเลย หรืออาจจะวัดแสงสะท้อนที่น้ำ แล้วชดเชยแสงโอเวอร์ 2-3 Stop แล้วถ่าย แต่คราวนี้ผมวัดแสงเน้นไปที่ผนังก้อนหินที่พื้นผิวผมสะดุดใจผม ในความจริงตรงหินจะค่อนข้างสว่าง ผมจึงชดเชยให้ Under 2 Stop ให้ดูดุดำอย่างที่คิดเอาไว้ในใจ แต่ยังสามารถแสดงรายละเอียดได้สวยงาม จำค่าแสงนี้เอาไว้ จากนั้นผมวัดแสงสะท้อนจากน้ำที่กำลังไหล ในใจคิดไว้ว่าจะให้เป็นสายน้ำสีขาวไหลนุ่มละมุนละไม แต่ยังต้องปรากฏรายละเอียดบ้างพอควร ค่าแสงที่ได้ต่างกับที่วัดในจุดก้อนหินตอนแรก 4 Stop ช่วยยีนยันได้ว่าคอนทราสของซีนนี้ต่ำมาก ผมเห็นภาพในใจทันทีว่าน้ำที่ตั้งใจให้ขาวเป็นจุดเด่นจะไม่ขาวแน่ เพราะผมถ่าย Under นี่

ผมบันทึกภาพนี้ลงฟิล์มด้วยค่าแสงที่วัดและชดเชยตรงบริเวณหิน ถ่าย Under เพื่อให้หินมันดูดุดำเข้มมากขึ้น เคล็ดวิชาของการถ่ายขาวดำคือ Expose for Shadow เพราะถ้าคุณไม่ให้ปริมาณแสงที่เพียงพอตกกระทบลงบนฟิล์มแล้ว ไม่ว่าคุณจะใช้เทคนิคล้างฟิล์มอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถทำให้มีรายละเอียดปรากฏขึ้นในฟิล์มได้ จึงต้องให้ความสำคัญในการวัดแสงส่วนที่เป็นส่วนมืดเป็นอย่างมาก เพราะรูปที่สมบูรณ์จะต้องปรากฏรายละเอียดในส่วนเงามืด (Rich Black) ไม่ใช่เป็นสีดำปื้นๆ บนกระดาษ สิ่งที่ต้องคิดลำดับต่อมาคือ ถ้าผมล้างฟิล์มแผ่นนี้ด้วยเวลาปกติ (เวลาปกตินี้เราต้องทดลองหากันเสียก่อน) สายน้ำที่ผมตั้งใจจะให้ขาวเด่นขึ้นมาคงไม่ขาวแน่ๆ (Brilliant white) ทางแก้ต้องไปแก้ตอนล้างฟิล์ม อีกหนึ่งเคล็ดวิชาคือ Develop for Highlight เพื่อจะให้ได้ความขาวตามที่คิดเอาไว้ผมต้องเพิ่มเวลาล้างมากขึ้นจากเวลาล้างปกติ ในกรณีนี้ผมใช้เวลาล้างที่เรียกว่า N+1 เพื่อทำให้เนื้อฟิล์มบริเวณสายน้ำมีเพิ่มมากขึ้นซึ่งแน่นอนว่าเวลานี้ได้มาจากการทดลองล้างหาเวลาเอาไว้แล้วล่วงหน้า

ผมตั้งใจถ่ายให้มืดลง เพื่อให้หินดูสวยงามมีพลัง ขณะเดียวกันต้องพยายามทำให้สายน้ำขาวใส ด้วยการเพิ่มเวลาล้างฟิล์ม ผลที่ได้น่าพอใจมาก ภาพดูมีพลังดึงดูดสายตา ได้มากกว่าภาพจริงๆ ที่ผมมองเห็น บางทีการลองถอยหลังมาอีกสักก้าว มันทำให้เราเห็นโลกเบื้องหน้ากว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น