Thursday, 31 July 2014

Contrast Index ตัววัดมาตรฐาน Contrast

ตัวแปรหนึ่งที่ผมว่าเป็นตัวแปรสำคัญในกระบวนการสร้างงานภาพถ่ายคือ Contrast ซึ่งผมได้เล่าไปบ้างแล้ว ทั้งด้านงานขาวดำและงานฟิล์มสี ทีนี้ก็ยังมีความสับสนกันอีกบ้างว่าแล้วคอนทราสเท่าไหร่ล่ะถึงจะเรียกว่าพอดี หรือเหมาะสม?
ทุกคนคงทราบกันดีนะครับว่าผู้บุกเบิกวงการภาพถ่ายที่สำคัญคือ Kodak ในงานฟิล์มนั้น Kodak ได้สร้างค่าตัวแปรหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า Contrast Index (CI) เพื่อใช้ในการวัด Contrast ออกมาเป็นตัวเลขและกำหนดค่า CI มาตรฐานเอาไว้อีกด้วย 

Contrast Index นั้นเรานำมาใช้อ้างอิงถึง ระยะเวลาเหมาะสมที่ใช้ในการล้างฟิล์มขาวดำ เพื่อให้ได้ Contrast ที่ถูกต้อง Kodak ระบุเอาไว้ที่ตัวเลข 0.56 ตัวเลขนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้างคงต้องเล่ากันยาวๆ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะนำเราไปสู่เรื่องของ Zone System ที่หลายคนหลังไมค์มาถามว่าล้างแบบ N, N+1, N-1 คืออะไร คอยติดตามกันนะครับ

มาดูความหมายและที่มาของตัวเลขค่า Contrast Index กันคร่าวๆ ก่อนนะครับ ย้ำอีกทีว่า CI เป็นค่าที่สร้างขึ้นโดย Kodak เพื่อใช้ในการวัดค่า Contrast ของฟิล์มขาวดำที่ผ่านการล้างออกมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว Contrast ของฟิล์มที่ได้นั้นขึ้นอยู่กับแฟคเตอร์หลายๆ อย่าง

  1. Film Speed ฟิล์มยิ่งมีความไวสูง โดยตัวมันเองแล้วจะยิ่งมีคอนทราสต่ำ (ไม่นับพวกฟิล์ม 1600 หรือ 3200 นะครับถือเป็นฟิล์มพิเศษ) ไม่ผิดนะครับ ส่วนมากคนคิดว่าฟิล์มพวก ISO 400 Contrast สูงกว่าพวก ISO 100 ดูกันต่อครับ
  2. Exposure Index (EI) หรือพูดง่ายๆ ว่าค่า ISO ที่ใช้ตอนถ่ายภาพ ถ้าเราถ่ายที่ EI ต่ำกว่า ISO บนกล่องก็จะลดคอนทราสลงเช่นกัน
  3. ระยะเวลาที่ใช้ในการล้างฟิล์ม ยิ่งคุณล้างนานขึ้นคุณยิ่งเพิ่ม Contrast มากขึ้น ข้อนี้ล่ะครับที่พิสูจน์ว่าข้อ 1 ถูกต้อง เคยลองสังเกตดูเวลาล้างที่ระบุในเอกสารของน้ำยาแต่ละตัวไหมครับ ว่าฟิล์มรุ่นเดียวกัน แต่ ISO ต่างกัน อย่าง 100 กับ 400 เนี่ย ตัวที่ ISO สูงกว่าจะต้องใช้เวลาล้างนานกว่าเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้ Contrast ที่เท่ากัน
  4. Dilution หรืออัตราผสมของน้ำยาที่เราใช้ โดยปกติแล้วอย่างน้ำยา D76 ถ้าใช้แบบ Full Strength จะได้ Contrast ที่สูงกว่าแบบผสม 1:1 หรือ 1:3

ค่า Contrast Index ที่เหมาะสม Kodak ระบุไว้ที่ 0.56 สำหรับหัวอัดแบบ Diffusion ส่วนพวกหัวอัดแบบ Condenser แนะนำไว้ที่ 0.45 เหมือนที่เราได้ยินกันมาว่าถ้าล้างฟิล์มไว้สำหรับขยายกับหัวอัดแบบ Condenser ให้ลดเวลาล้างลง จากเวลาที่เราใช้สำหรับหัวอัดแบบ Diffusion ในกรณีนี้จะหมายถึงการขยายภาพลงบนกระดาษเกรด 2 นะครับ ซึ่งในการปรับ Contrast ให้ได้ค่า CI ที่ต้องการนั้น เราจะใช้การปรับ EI กับปรับ เวลาล้างฟิล์มนั่นเอง (กระบวนการ Alternative ต่างๆ ก็ต้องการ CI ที่แตกต่างกันไปด้วยนะครับ)

ในการเริ่มต้นคุม Contrast นั้นหนังสือบางเล่มจะแนะนำไว้ว่า

400 speed black and white film, expose the film at ISO 320 (1/3 of a stop slower) and reduce development 10-15%.

125 speed black and white film, expose the film at ISO 100 and reduce development 10-15%.

การหา Contrast Index นั้นเราต้องวัดค่าความเข้ม (Density) ของเนกาทีฟ ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Densitometer ผมว่ามันจำเป็นมากถ้าเราจะเป็นช่างภาพที่ใช้ Zone System จริงจัง จากนั้นเราก็จะมาปรับ EI กับเทคนิคการล้างฟิล์มของเราใหม่ ส่วนกระบวนการอย่างละเอียดหาอ่านเพิ่มเติมได้ในอินเตอร์เน็ตหรือหนังสืออย่าง Way Beyond Monochrome แนะนำเลยครับหาติดห้องมืดไว้ซักเล่ม

การวัดความเข้มของเนกาทีฟที่ถ่าย Step Wedge มาด้วย Densitometer

เล่าคร่าวๆก่อนละกันนะครับ พอเราวัดค่าได้มาแล้วก็เอามาพลอตกราฟ แกนนอนเป็น Exposure แกนตั้งเป็น Density เราก็จะได้ Characteristic Curve ออกมา ยิ่งล้างฟิล์มนานกราฟจะชันและแคบ แสดงถึงคอนทราสที่สูง 

หน้าตาและส่วนประกอบของ H&D Curve

ในส่วนด้านล่างของกราฟเราจะเรียกว่า Toe กราฟจะไม่ชัน แสดงว่าในส่วนของค่าต่ำอย่าง Shadow เนี่ยคอนทราสจะต่ำ ช่วงกลางเป็นช่วงที่เราสนใจบางทีก็เรียกกันว่าช่วง Straight Line เป็นช่วงทั่วไปที่ฟิล์มบันทึกภาพ ความชันช่วงนี้ล่ะครับที่เอามาวัด CI กัน โดยใช้เครื่องมือวัด Slope ที่ Kodak ออกแบบมา ส่วนช่วงบนของกราฟจะกลับมาชันน้อยลงเรียกว่า Shoulder เป็นช่วงโซนสูงๆ หรือ Highlight ของเนกาทีฟ ความชันลดลงแสดงว่า Contrast ก็ลดลงด้วย ฟิล์มรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันจะมี Shoulder ที่ยาวขึ้นคือชันมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงการไล่โทนที่ดีมากยิ่งขึ้น ต่างจากฟิล์มรุ่นเก่า ที่มักจะเกิดอาการ Block Highlight ขึ้นนั่นเอง

ยิ่งเราเพิ่มเวลาในการล้างมากขึ้นกราฟจะชันขึ้น
เครื่องมือช่วยวัดหาค่า Contrast Index
ที่ออกแบบโดย Kodak
เรื่องเล่าคราวนี้คงเอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ เรื่องเทคนิคค่อนข้างเยอะ ทำความรู้จักกันไปทีละนิดเรื่อยๆ ดีกว่าครับ มีโอกาสจะมาเล่าต่อเรื่อยๆ สงสัย หรือมีสิ่งใดผิดพลาดคอมเมนท์ทิ้งไว้กันได้นะครับ อยากให้มีการโต้ตอบกันบ้างครับ จะได้เกิดความรู้ใหม่ๆ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกันครับ

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/ThaisilpFilmlab ครับผม


Wednesday, 23 July 2014

การทำงานกับฟิล์มสี ในยุคฟิล์มครองเมือง

ช่วงนี้เห็นกระแสการกลับมาใช้ฟิล์มสีบันทึกภาพค่อนข้างแรงเลยทีเดียว โดยเฉพาะฟิล์มสี แต่สุดท้ายภาพที่เอามานำเสนอกันในเว็บ ต้องทำการสแกนมาเสียก่อน ซึ่งมันก็กลายเป็นดิจิตอลอยู่ดี ทีนี้ก็เกิดปัญหาถกเถียงกันทั้งเรื่องสีสัน และคอนทราสขึ้นมา ซึ่งมองว่าปัญหาเกิดจากการล้างฟิล์มบ้าง หรือการสแกนบ้าง หรือ เป็นเพราะตอนถ่ายผิดพลาดเอง เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยมาวิเคราะห์กันครับ ไปดูกันก่อนว่าเมื่อก่อนงานล้างอัดภาพยุคฟิล์มครองโลกเป็นยังไงกัน

ผมจะขอเล่าตามประสบการณ์ที่ทำงานกับฟิล์มสี ตั้งแต่การล้างฟิล์ม ไปจนถึงการขยายรูปที่ผมเคยทำแลปรูปด่วนให้ฟังกันนะครับ ตั้งแต่ที่ผมเป็นเด็กเห็นตาทำ พ่อทำ จนมาถึงผมทำเอง

ยุคแรกที่เห็นผู้ใหญ่เค้าทำกัน จะขยายรูปด้วยหัวสีในห้องมืดครับ แล้วเอากระดาษที่ขยายแล้วออกมาล้างต่อในห้องมืดอีกห้อง ดัดแปลงเอาพีวีซีมาทำเป็นตะแกรง งอกระดาษแต่ละใบเข้าคล้ายๆ ขนมเบื้อง เสียบๆ ลงไปในตะแกรงแล้วจุ่มลงน้ำยาที่แยกไว้เป็นถังๆ ครบเวลาและน้ำยานำออกมารันน้ำ เช็ด ใส่เครื่องอบ 

ส่วนฟิล์มก็จะคล้ายๆ กันครับ โหลดใส่รีล แล้วจุ่มน้ำยาตัวหนึ่งย้ายไปตัวสอง ครบเวลาเอาลง Fixer พอใสได้ที่ก็รันน้ำเช็ดอบเหมือนกัน (ผมไม่ค่อยเข้มงวดกับเวลาในการลง Fixer นะครับ ใช้ตาดูเอาถ้ามันใสปิ๊งแล้วไอ้ที่ขุ่นๆหายไปหมดเป็นใช้ได้ ถ้ารู้สึกว่ามันเริ่มนานเกินไปกว่าจะใส ก็เสริม Fixer เพิ่มเข้าไป) 

เครื่องตัวต่อมาเป็นของ Durst เครื่องในฝันกันเลยล่ะครับ นั่งปรินท์ข้างนอกห้องมืดเหมือนกันแต่ตัวเครื่องต้องเจาะใส่กับห้องมืดเพราะใส่กระดาษเอาไว้ในตู้ด้านหลังเครื่อง รุ่นนี้ใส่กระดาษเป็นม้วน เค้าเรียกกันว่าปรินท์เป็นเส้นพอปรินท์เสร็จต้องเข้าไปตัดกระดาษส่วนที่ปรินท์แล้วออก แล้วเอาไปป้อนเข้าเครื่องล้างกระดาษอีกที พอรูปโผล่ออกจากเครื่องล้าง ยังต้องเอาไปรันน้ำ เช็ดเข้าเครื่องอบ แล้วตัดเป็นใบๆอีกที เริ่มตัดขั้นตอนการล้างกระดาษในห้องมืดออกไปแล้วล่ะครับ สบายมาอีกหน่อย

ตัวผมเองได้มาอัดขยายรูปจริงๆ จังๆ ก็ในช่วงของมินิแลปครับ เครื่องมินิแลปจะมีหัวอัดต่อเชื่อมกับเครื่องล้างกระดาษเบ็ดเสร็จ เป็นยุคของอุตสาหกรรมถ่ายภาพจริงๆ ที่ขนาด 4x6 สามารถอัดได้ 1500 ใบต่อชั่วโมงทีเดียว ยี่ห้อเครื่องหลักๆ ก็จะมี Fuji, Kodak/Noritsu, Copal, Agfa, Konica แต่ละยี่ห้อนี่ล่ะครับที่มันเกิดความแตกต่างขึ้นมา 

ฟิล์มแต่ละตัวจะมี Character ไม่เหมือนกันอยู่แล้วที่เด่นชัดสุดเป็นเรื่องของ Contrast กับความอิ่มสี เรียกง่ายๆว่าตัวไหนสีสดกว่ากัน แต่เครื่องอัดรูปนี่ล่ะครับมีผลอย่างมากเลยกับรูปที่ได้ออกมา เครื่องแต่ละยี่ห้อจะมีโทนสีและคอนทราสเฉพาะตัวมากๆ อย่าง Fuji นี่สีจะออกหวานๆ นิ่มๆ ซึ่งผมชอบมากที่สุด แต่เครื่อง Kodak/Noritsu นี่คอนทราสจะแข็งๆ หน่อยและเอกลักษณ์คือสีจะอมแดงๆ กับ Magenta หน่อยๆ ส่วน Konica นี่ผมว่าให้สีออกมากลางๆ ดี แต่รูปไม่ค่อยมีสเน่ห์เท่าไหร่คือสวยแต่ไม่สุดๆ อันนี้จากประสบการณ์ตรงที่ได้ใช้มาสามยี่ห้อนะครับ ยี่ห้ออื่นไม่ออกความเห็น

มาดูที่กระดาษที่เราใช้กันบ้าง หลักๆบ้านเราก็ Fuji, Kodak, Konica, Mitsubishi แล้วก็พวกกระดาษจีน แต่ละยี่ห้อก็จะมีรุ่นถูกรุ่นแพงอีก สิ่งที่ต่างกันก็คือความหนา ความทน ผิวของกระดาษไหนเรียบเนียนแน่นกว่ากัน เบสกระดาษอันไหนขาวกว่ากัน สีดำของใครลงได้ดำลึกกว่ากัน ส่วนคอนทราสผมว่าไม่ต่างกันอย่างที่แยกแยะได้ชัดเจน สีอาจต่างกันเรื่องความสดความอิ่ม แต่อย่างที่บอกครับสีที่แตกต่างมาจากยี่ห้อเครื่องชัดเจนกว่า อันนี้หมายถึงว่าต้องคุมคุณภาพน้ำยาให้ได้ตามมาตรฐานนะครับ

ทีนี้บริษัทฟิล์มที่มืออาชีพ ฟิล์มทุกรุ่นทุกตัวเค้าจะมีฟิล์มไว้เทสสีให้ ทางช่างเรียกกันว่าฟิล์มตาไก่ เครื่องอัดแบบมินิแลปจะต้องเทสสีฟิล์มแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่นเก็บเป็นความจำไว้ในเครื่อง ยุคนั้นผมว่ามีไม่ต่ำกว่าสิบตัวมาตรฐานที่ร้านต้องทำ การเทสสีเราก็จะใช้ฟิล์มตาไก่นี่ล่ะครับ ฟิล์มพวกนี้จะมาจากฟิล์มแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่นถ่าย Test Shot มาคล้ายๆ รูปด้านล่างนี่ล่ะครับ (ฟิล์มแต่ละยี่ห้อฟิล์มเบสจะสีต่างกัน ถึงแม้ยี่ห้อเดียวกันคนละรุ่น รุ่นเดียวกันคนละความไวแสง ก็สีต่างกันแล้วครับ)

ไฟล์สำหรับ Test Print จาก Kodak

หรือประมาณนี้

                             
โดยจะถ่ายพอดีเรียกว่า Normal แล้วโอเวอร์ +1 และ +2 และมี Under -1 และ -2 เพราะฟิล์มพอหนาบางไม่เท่ากันเราต้องลดหรือเพิ่มเวลาฉายแสง ซึ่งมีผลกับกระดาษทำให้สีเพี้ยนได้อีก ในการเทสสีช่องฟิล์มแต่ละชนิดต้องทำให้ละเอียดเราเรียกว่า Slope ของสี 

เวลาเทสสีนี่นะครับช่างก็จะต้องทำให้สีเทาเป็นเทา สีขาวเป็นขาว ละก็เชค Skin Tone ด้วย ไม่ให้มันอมสีใดสีหนึ่งโผล่ขึ้นมา ทีนี้ล่ะครับฟิล์มแต่ละตัว Character ของสีเป็นยังไงถึงจะบอกกันได้ แต่อย่างที่ผมว่าไว้คือเครื่องปรินท์มีผลกับสีเหมือนกัน เพราะบางทีได้ขาว ได้เทาแล้ว แต่เครื่องแต่ละยี่ห้อก็สียังไม่เหมือนกัน พวก Kodak/Noritsu นี่อมแดงๆ ชัดเจนครับ

ภาพจากอินเตอร์เน็ด

ภาพจากอินเตอร์เน็ด

ลองเอาภาพตัวอย่างมาให้ดูนะครับ ขาวได้ขาวแล้วแต่สีผิวยังอมแดงๆ นิดๆ เลยนะครับ ที่พูดมานี่คืออยากจะบอกว่าฟิล์มแต่ละตัวแต่ละรุ่นเนี่ย Under หรือ Over สีก็เปลี่ยนแล้ว ยิ่งตอนนี้ฟิล์มต้องถูกสแกนเป็นดิจิตอล เรื่องสแกนสำคัญมาก สแกนมาแล้วเราต้องแก้สีก่อนนะครับ ดูส่วนที่เป็นสีเทา หรือสีขาวเช่นเมฆ เราต้องแก้ให้สีที่อมติดมาหายเสียก่อน สีมันดิ้นได้ครับกับฟิล์ม เราคนทำไฟล์คือทำให้ขาวเป็นขาว เทาเป็นเทา ถึงเรียกว่าได้รูปที่สีถูกต้องครับ สีส่วนอื่นที่เหลือมันไหลไปทางไหนก็ปล่อยไปตามเบสฟิล์มล่ะครับ ส่วน Contrast พอเป็นไฟล์ดิจิตอลก็ดึงกันได้เยอะกว่าเมื่อก่อนที่ขยายตรงลงกระดาษครับ ถ้าฟิล์ม Under นี่ขยายลงกระดาษคอนทราสตกเยอะครับเพราะต้องลดเวลาฉายแสงลง พวกถ่ายฟิล์มสียุคก่อนถึงถ่ายให้ติด Over นิดๆ เพราะตอนขยายเราจะได้ฉายแสงนานขึ้น คอนทราสดีขึ้นสีอิ่มมากขึ้นครับ ทีนี้คงพอเข้าใจภาพรวมกับการทำงานฟิล์มมากขึ้นนะครับ

อ้อ เดี๋ยวนี้เน้นสแกนถ่ายพอดีหรืออันเดอร์นิดๆ จะดีกว่าครับเพราะ Scanner ชอบฟิล์มแบบนี้มากกว่า โปรแกรมที่ใช้สแกนอีกครับ แต่ละโปรแกรมสแกนเนกาทีฟเฟรมเดียวกันยังสีต่างกันเลย แต่เอาเทคนิคที่บอกไปใช้กันได้ครับ ขาวต้องขาว เทาต้องเทาครับ ไว้ว่างๆ วันหลังมาคุยเรื่องการสแกนกันบ้างดีกว่าครับ

Tuesday, 17 June 2014

Two Bath Developer ดีจริงมั้ย?

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า พอดีผมก็ค้นๆ รื้อๆ กระเป๋ากล้องแล้วดันไปเจอฟิล์มม้วนนึงถ่ายไว้แล้วยังไม่ได้ล้าง เป็นฟิล์ม Tri-x ฟอร์แมต 120 ซึ่งไม่ได้เขียน Note อะไรไว้เลย เอาล่ะสิทีนี้จะทำไง ถ่ายอะไรไว้ยังไง ถ่ายที่ EI เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ปกติผมจะใช้น้ำยาล้างฟิล์มประจำอยู่สามตัว ตัวแรกคือน้ำยาที่ต้องผสมเอง ตัวนี้ไม่มีวางขายคือ PC-TEA (ออกแบบโดย Patrick Grainer คนขาวดำคนนึงที่ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ NASA ด้วย) ตัวที่สองใช้ได้มาพอสมควร พอจะเข้าใจนิสัยใจคอกันได้แล้วคือ Ilfotec HC ชอบเพราะสะดวกไม่เปลืองดัดแปลงอะไรได้หลายอย่าง ทำงานคล้ายๆ HC110 ของ Kodak ส่วนตัวสุดท้ายพึ่งใช้ได้ไม่นานและติดใจมากคือ ID-68 (สูตรผสมเองเช่นกันใกล้เคียง Microphen ของ Ilford)

ฟิล์มม้วนที่ว่านี้คิดว่ายังไงก็ถ่าย EI ต่ำกว่า 400 ข้างกล่องแน่นอน เพราะฉะนั้น ID-68 ตัดออกไปได้เลย เพราะมันจะดันส่วน Shadow ขึ้นมาหนามากแน่ ปกติกับน้ำยาตัวนี้ผมจะถ่ายที่ EI 800 เหมาะกับเวลาที่ต้องใส่ฟิลเตอร์สีเหลืองซึ่งเสียแสงไป 1 Stop เป็นการชดเชยกันไป ส่วน PC-TEA ที่เหลืออยู่ก็ดำปี๋แล้ว ลองเทสกับหัวฟิล์มดู ยังสามารถทำให้เนื้อฟิล์มดำขึ้นมาได้อยู่แต่ไม่มั่นใจว่ามันยังทำงานเต็มร้อยอยู่หรือเปล่า ส่วนถ้าจะเอา Ilfotec HC ล้างแบบ Minimal Agitation คิดว่าน่าจะพอไปได้ วิธีนี้หมดห่วงเรื่อง Shadow ไปได้พอสมควร แต่ก็เสียวๆ เรื่องเวลาล้างว่าจะได้ Highlight ที่พอดีไม่หนาเกินหรือเปล่า เพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าถ่ายอะไรไว้ ลักษณะแสงเป็นแบบไหน (Subject Contrast)

พอดีช่วงนี้ศึกษาเรื่องการคุมคอนทราสของเนกาทีฟพอดี ผ่านๆ ตามาเรื่องน้ำยาแบบหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อใช้ช่วยเวลาเจอ Subject Contrast สูงๆ และฟิล์มม้วนโดยเฉพาะ 135 ที่ในม้วนนึงถ่ายมาสารพัดสภาพแสง น้ำยาที่ว่านี้เรียกว่า Two Bath Developer หลักการคือแยกน้ำยาออกเป็นสองส่วน A และ B โดยจุ่มฟิล์มในน้ำยา A ก่อน เมื่อครบเวลาก็จุ่มด้วย B ตามแล็วก้อ Stop และ Fix ตามปกติ สูตรตัวแรกสุดคิดค้นโดย Heinrich Stoëckler ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองคือ Stoeckler Two Bath ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ Leica User กันเลยทีเดียว ต่อมา Ansel Adams ใช้หลักการเดียวกันมาพัฒนาต่อ โดยจับเอา D-23 ของ Kodak มาปรับปรุง กลายเป็นสูตรแบบ Two Bath และโดยการนำข้อดีข้อด้วยของสองสูตรดังกล่าวมาปรับปรุงโดย Barry Thornton ซึ่งเป็นช่างภาพและช่างขยายภาพด้วยเพื่อให้เหมาะกับฟิล์มรุ่นใหม่ๆ เค้าเขียนรายละเอียดไว้ในหนังสือ Edge of Darkness เอาไว้ หนังสือดีอีกเล่มที่ถ้าหาได้ลองหามาศึกษากันดูครับ ที่นี้มาดูสูตรแต่ละตัวกัน




สังเกตเห็นอะไรมั้ยครับ ทั้งสามสูตรนี่ใช้เคมีเพียงแค่สามตัวเท่านั้น ง่ายและประหยัดดีมั้ยครับ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันหน่อยทั้งสามสูตรนี้ยังใช้ได้ผลดีทั้งหมดนะครับ แต่ผมขอทดสอบกับสูตรที่สาม ของ Barry Thornton เพราะปรับปรุงมาค่อนข้างลงตัวกับฟิล์มรุ่นใหม่ๆ ที่เนื้อฟิล์มค่อนข้างบางกว่าฟิล์มสมัยก่อน และตัวเค้าเองบอกว่าสูตรของเค้าให้คอนทราสที่ดีกว่า ได้ความคมชัดที่ดีกว่า

หลักการทำงานของมันจะเห็นว่าใน Bath A ของทุกสูตรจะมี Metol ซึ่งทำหน้าที่เป็น Developing Agent และตัว Preservative ในที่นี้จะเป็น Sodium Sulfite (หน้าที่แต่ละตัววันหลังคงได้เล่าให้ฟัง) ส่วนตัว Accelerator จะถูกแยกออกเอาไปไว้ใน Bath B ต่างหาก ผลลัพธ์อย่างนึงคือ แต่ละส่วนเก็บไว้ได้นานมากๆ ไม่เสียง่ายไงครับ และการที่มีแต่ Metol กับ Sulfite ทำให้ได้เกรนที่ละเอียด ความเป็นกรดต่ำ

เมื่อเราเทน้ำยา Bath A ลงในฟิล์ม ฟิล์มจะเริ่มดูดซับเคมีเข้าไว้ในเนื้อฟิล์ม ผมคิดว่าอาจจะมีการสร้างภาพเกิดขึ้นในขั้นตอนนี้บ้าง แต่น่าจะอย่างช้าๆ เสร็จแล้วเมื่อครบเวลาเทน้ำยา Bath A ออก แล้วเทน้ำยา Bath B เข้าไปแทน ขั้นตอนนี้น่าจะเป็นการสร้างภาพขึ้นมาอย่างชัดเจน เพราะน้ำยาจาก Bath A ที่เนื้อฟิล์มดูดเอาไว้จะเริ่มทำปฏิกิริยากับ Sodium Metaborate เกิดอัตราการสร้างภาพที่เร็วขึ้น เพราะค่าความเป็นกรดทีสูงใน Bath B การสร้างภาพบริเวณ Highlight จะสูงมากปฏิกิริยาเคมีบริเวณนี้จะทำให้น้ำยาหมดสภาพอย่างรวดเร็ว แต่ในส่วน Shadow ปฏิกิริยาจะเกิดอย่างช้าๆ หลักการคล้าย Minimal Agitation นั่นล่ะครับ ขณะที่ Highlight หยุดสร้างภาพ หรือช้ามากๆ ทางด้าน Shadow ก็ยังทำการสร้างภาพต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ได้ Shadow Detail ที่ดี และ Highlight ที่พอดีไม่หนาเกินไป ทำให้โดยรวมแล้วได้การไล่โทนในเนกาทีฟที่สวยงาม การไล่โทนที่ดีในเนกาทีฟนี่ล่ะครับ ที่ทำให้ภาพดูมีมิติ เวลาที่เราเอามาปรินท์ลงกระดาษ โดยเฉพาะโทนกลาง ลองเทียบดูได้นะครับ รูปที่อัดลงกระดาษจะไล่โทนกลางได้สวยกว่าการสแกนฟิล์มมากๆ
สังเกตตรงกลีบขาวๆ ของดอกฝิ่นดูนะครับ เก็บรายละเอียดและคอนทราสได้ดีทีเดียว


เข้าใจการทำงานไปแล้ว ทีนี้มาดูวิธีล้างฟิล์มโดยน้ำยาแบบ Two Bath กันนะครับ ข้อควรระวังอย่างแรกเลยคืออย่าทำ Prewash ฟิล์มก่อนนะครับ เพราะเราต้องการให้เนื้อฟิล์มดูดซับเอาน้ำยาใน Bath A เอาไว้ให้เต็มที่ (เพื่อปฏิกิริยาทางเคมีที่ดีที่สุดเมื่อเราใส่ Bath B ลงไป) ขั้นตอนแรกเหมือนกับการล้างฟิล์มโดยทั่วไปครับ เตรียมน้ำยาต่างๆ ไว้ที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส อุณหภูมินี้เป็นค่าแนะนำจาก Barry Thornton เลยนะครับ เมื่อโหลดฟิล์มใส่แทงค์พร้อมแล้ว เทน้ำยา Bath A เข้าแทงค์ วิธีการเขย่าต่างๆ ก็เหมือนกับการล้างฟิล์มด้วยน้ำยาปกติ อย่างของผมก็เขย่าด้วยการพลิกแทงค์กลับด้านต่อเนื่อง 30 วินาทีแรก กระแทกแทงค์เบาๆ สองสามครั้งกับโต๊ะเพื่อไล่ฟองอากาศที่อาจเกิดขึ้นและเกาะอยู่ที่เนื้อฟิล์ม จากนั้นก็พลิกแทงค์ 10 วินาทีทุกๆ 1 นาที ผมใช้เวลาตามที่แนะนำคือ 4 นาทีนะครับกับ Bath A ครบเวลาเทน้ำยาออกเก็บไว้นะครับ ไม่ต้องเททิ้ง เพราะน้ำยาแบบนี้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้เรื่อยๆ ครับ Barry แนะนำว่าประมาณ 15 ม้วนค่อยเททิ้งนะครับและจะใช้ได้มากกว่านี้ถ้าหมั่นเปลี่ยน Bath B

พอเท Bath A ออกแล้ว เติม Bath B ลงในแทงค์ต่อได้เลยนะครับ อย่าไปเติมน้ำยา Stop หรือน้ำเปล่าเด็ดขาด การเขย่ากับ Bath B ผมจะพลิกแทงค์กลับไปมา 30 วินาทีแรกแล้วกระแทกแทงค์เพื่อไล่ฟองอากาศ จากนั้นอีกสองนาทีถึงจะพลิกแทงค์ประมาณ 10 วินาที คือเอา Minimal Agitation มาใช้กับ Bath B เพื่อให้การเกิดปฏิกิริยาที่ Highlight เกิดน้อยที่สุด ความจริง Barry บอกว่ากับฟิล์ม 120 ซึ่งไม่มีหนามเตยไม่จำเป็นต้องเขย่าแทงค์เลยใน Bath B แต่กับ 135 ที่มีหนามเตยอาจมีผลกับฟิล์มบริเวณขอบๆ หนามเตยนะครับ เค้าเตือนไว้ ผมใช้เวลาเท่ากันกับ Bath A เลยนะครับ 4 นาทีเท่ากัน ใน Bath B นี่ล่ะครับที่กระบวนการสร้างภาพเกิดขึ้น Barry บอกว่า Two Bath ของเค้านี่จะให้เนกาทีฟไม่เหมือนกับกระบวนการ Compensating development ที่ใช้น้ำยาเจือจางสูงๆ ล้างนานๆเขย่าน้อยๆ นะครับ เค้าเคลมว่า Midtone ที่ได้จากน้ำยาแบบนี้จะสวยกว่าไม่ตันๆ แบนๆ แล้ว Shadow ก็ดูมีมิติมากกว่าด้วย

เอาล่ะครับครบเวลาเทน้ำยา Bath B ออกจะเก็บไว้ใช้ต่อก็ได้นะครับ แต่ผมเททิ้งเลยเพราะ Bath B เตรียมง่ายและราคาต่ำมากๆ เพื่อความมั่นใจส่วนตัวในกรณีล้างม้วนต่อไปนะครับ ถ้าเก็บไว้ก็ใช้ได้ประมาณ 15 ม้วนนะครับ Stop แล้วก้อ Fix ตามปกติครับ ส่วนตัวผมใช้ Water Stop Bath ครับ

Mid Tone สวยจริงครับ ดูน้ำมีมิติดีมาก

สรุปข้อดีของการล้างฟิล์มแบบ Two Bath ที่ผมมองเห็นนะครับ
  1. หลักๆเลย ฟิล์มทั้งม้วนมี Negative Contrast ที่บาลานซ์กันได้ดีมากๆ ในแต่ละเฟรมซึ่ง Subject Contrast ต่างกัน เอาไว้จะลอง Contact ปรินท์ดูอีกทีนะครับดูเนกาทีฟผ่านๆ ด้วยตาน่าจะขยายลงกระดาษประมาณเกรด 2 และ 3
  2. ผมว่า Mid Tone สวยดีนะครับการไล่โทนกลางที่ดีจะทำให้รูปที่ขยายออกมามีมิติที่ดีขึ้นมากๆ 
  3. แน่นอนครับ Shadow Detail ดี ถ้าหาค่า EI ดีๆ อีกทีหมดห่วงได้เลย
  4. สมมติว่าเราถ่ายฟิล์มหลายยี่ห้อ หลายรุ่น สามารถรวมกันล้างในแทงค์เดียวกันทีเดียวได้เลยประหยัดเวลาไปได้มากเลยล่ะครับ
  5. ประหยัดน้ำยาด้วยครับ Bath A เก็บได้นานวนกลับมาใช้ได้เรื่อยๆ เพราะมันแค่มีหน้าที่เอาไปให้ฟิล์มดูซับเอาไว้เท่านั้น ไม่เสียสภาพทางเคมี ส่วน Bath B ถึงแม้ผมจะเททิ้งเลยก็ถือว่าถูกมากๆ ครับ ผสมใหม่ง่ายเพราะละลายง่ายมาก
  6. การคุมอุณหภูมิ ไม่ค่อยซีเรียสมากนะครับ และทำได้ง่ายขึ้นเพราะคุมแค่ช่วงสั้นๆ ในแต่ละตัว
  7. ผมว่าเหมาะกับมือใหม่หัดล้างฟิล์มมากๆ เพราะโอกาสที่ฟิล์มจะเสียน้อยมาก โอกาสได้รูปสูง ถ้าคุณไม่วัดแสงผิดมามากๆ นะครับ
วันที่ฟ้าขาวๆ มีแต่เมฆ เก็บรายละเอียดใช้ได้ครับ ตอนอัดลงกระดาษเราเผาเพิ่มรายละเอียดได้อีก

เป็นไงล่ะครับ คิดว่าจะพอเป็นน้ำยาอีกระบบหนึ่งที่ต้องมีติดห้องมืดไว้หรือเปล่าครับ  สำหรับผมคราวต่อไปถ้าผมถ่าย 135 ล่ะก้อ ผมเลือกล้างฟิล์มด้วย Barry Thornton Two Bath แน่นอนครับ เพราะม้วนนึงของผมมันไปซะหลายที่ หลายเวลา หลายสภาพแสง กว่าจะหมดม้วนได้ อีกทั้งเกรนกับความคมชัดที่ได้ผมว่ามันกำลังพอดีลงตัวกัน ฟิล์มเล็กๆ อย่าง 135 นี่ความจริงแล้วปราบเซียนนะครับสำหรับความคิดผม ที่จะทำออกมาให้ดี โดยเฉพาะเมื่อต้องไปอยู่บนกระดาษ เอาไว้ได้ลองแล้วจะเอามาเล่าให้ฟังอีกที

อ้อ Barry เค้าแถมให้อีกหน่อยนะครับ Two Bath ของเค้าช่วยเรื่อง Zone System ได้นิดหน่อยครับ คือถ้าต้องการล้าง N-1 ให้ลด Sodium Metaborate ใน Bath B เหลือ 7 กรัม ถ้าอยากได้คอนทราส N+1 ก็เพิ่ม Sodium Metaborate ไปเป็น 20 กรัมนะครับ แต่อย่าลืมว่าเป็นการปรับคอนทราสทั้งม้วนเลยนะครับ

ขออภัยรูปประกอบคราวนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะฟิล์มม้วนนี้ที่ลืมก็เป็นเพราะ ถ่ายเรื่อยเปื่อย จากยอดดอยไปถึงทะเลนู่น มิน่าถึงไม่ได้เขียนโน๊ตไรทิ้งไว้ที่ฟิล์มเลย คิดว่าคงมีตอนต่อไปกะน้ำยาตัวนี้นะครับ แต่จะลองกับฟิล์มแผ่นดูบ้าง ว่าเอามาใช้กับ Zone System จะไปไหวหรือเปล่า ติดตามกันนะครับ 

Friday, 6 June 2014

Contrast คำคุ้นหู เอามาใช้ทำงานขาวดำยังไง?

ในแสงยามบ่าย วันฟ้าหม่น ผมเพิ่มเวลาล้างเพื่อให้ได้สายน้ำขาวสว่าง


ทุกคนที่สนใจการถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นในกระแสดิจิตอล หรืออีกหลายๆคนที่กำลังเลี้ยวกลับมาสู่ระบบฟิล์ม มักจะได้ยินศัพท์การถ่ายภาพคำนึงอยู่แทบทุกวันคือ Contrast (คอนทราส) สำหรับผมแล้วผมจะใช้คำว่าคอนทราสต่างกันอยู่ในสองกรณีคือ คอนทราสของสิ่งที่เรากำลังจะถ่าย (Subject Contrast) และอีกอย่างหนึ่งคือคอนทราสของเนกาทีฟ (Negative Contrast) ที่เรานำไปใช้ขยายรูป แต่ขอให้ความหมายง่ายๆ ของคำว่า Contrast เอาไว้เสียก่อน เราใช้คำนี้เพื่อแสดงความสัมพันธ์ของความแตกต่างระหว่างส่วนมืดและส่วนสว่างของสิ่งที่เรากำลังจะถ่าย หรือที่ปรากฏบนฟิล์ม ทีนี้มาดูแยกกันเป็นกรณี

1. คอนทราสของสิ่งที่เรากำลังจะถ่าย (Subject Contrast)

คือความแตกต่างของปริมาณแสงที่สะท้อนจากวัตถุออกมา จากในส่วนที่เป็นส่วนมืดๆ หรือที่เรียกว่า Shadow ในซีน กับส่วนที่สว่างหรือ Highlight ยกตัวอย่างเช่น ส่วนเงาที่ทอดยาวของแจกันดอกไม้สีขาวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ กับส่วนโค้งของแจกันที่สะท้อนแสงออกมาเต็มที่ ในการถ่ายภาพให้ดีเราต้องใส่ใจกับสองค่านี้มากๆ นะครับ โดยเฉพาะส่วน Shadow เป็นส่วนที่การถ่ายฟิล์มขาวดำจะต้องให้ปริมาณแสงส่วนนี้มีปริมาณพอที่จะสร้างภาพลงบนฟิล์มได้นะครับ ภาพที่ไม่สามารถเก็บรายละเอียดส่วน Shadow ได้จะไม่ค่อยมีเสน่ห์ครับ มันดำเป็นปื้นๆ เวลาขยายลงบนกระดาษ ในส่วน Highlight ก็สำคัญเช่นกัน (แต่การรับมือกับส่วนสว่างนี้จะทำตอนล้างฟิล์มและช่วยได้ตอนขยายภาพ) ถ้าไม่สามารถเก็บรายละเอียดมาได้เมื่อขยายลงบนกระดาษเราจะเห็นสีขาวของเนื้อกระดาษโผล่ออกมาในภาพครับ

2. คอนทราสของเนกาทีฟ (Negative Contrast)

ความหมายคล้ายๆ กัน คือความต่างของความโปร่งแสงในเนกาทีฟ ของส่วนที่ใสและส่วนที่เข้ม ส่วนที่ใสในเนกาทีฟก็คือ Shadow และจะปรากฏบนกระดาษมืดๆ ในเนกาทีฟที่เป็นส่วนเข้มจะเป็น Highlight เมื่อขยายลงกระดาษจะออกไปทางโทนขาวๆ ส่วนที่จะมืดเท่าไหร่ สว่างเท่าไหร่นั้น เค้าเรียกกันว่า Shadow/Highlight Densities (พยายามจะเอาหลีกเลี่ยงคำศัพท์ให้มากที่สุดแล้วครับ แต่บางอย่างเลี่ยงไม่ได้ และจำเป็น เพื่อจะได้พูดภาษาเดียวกันต่อๆ ไป) Density บนเนกาทีฟที่เราเห็นก็คือชั้นบางๆของผลึกเงินที่ฉาบเอาไว้บนเนื้อฟิล์ม

ทีนี้มีข้อควรระวังอยู่อย่างหนึ่งคือถ้าเราวัดแสงส่วน Shadow อย่างถูกต้องแล้ว แต่เมื่อล้างฟิล์มออกมามีหลายๆ ส่วนในเนกาทีฟที่ใสเท่ากับเนื้อฟิล์ม (Film Base) แสดงว่าค่า ISO ที่เราใช้นั้นไม่เหมาะกับน้ำยาล้างฟิล์มและกระบวนการล้างฟิล์มที่เราใช้อยู่ (สมมติว่าใช้ ISO ที่ระบุไว้ที่กล่องฟิล์ม) คราวต่อไปเราควรจะลด ISO ช่วย เช่นจากที่ใช้ 400 อาจจะลดมา 320 หรือ 250 อันนี้ทางเทคนิคเรียกว่า Personal Film Speed หรือบางทีก็เรียกว่า Exposure Index (ความจริงค่า EI นี้เป็นสิ่งแรกที่เราต้องหาเสียก่อนเมื่อเราเลือกใช้ฟิล์มกับน้ำยาคู่ใดๆ จากนั้นจึงจะหาเวลาล้างฟิล์มที่ถูกต้อง วิธีการหาเอาไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟัง) โดยส่วนมากแล้วน้ำยาทั่วไปควรจะลด ISO ลง และล้างลดเวลาจากที่ในคู่มือน้ำยาแนะนำเล็กน้อย จะมีน้ำยาไม่กี่ตัวที่สามารถให้ Film Speed เต็มได้ เราควรจะใช้น้ำยาหนึ่งตัวกับฟิล์มหนึ่งตัวเป็นประจำ เอาไว้ทำงานที่หวังผลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเปลี่ยนตัวใดตัวนึงแต่ละครั้งต้องจับทางมันใหม่เสมอ

ทีนี้ขอเพิ่มอีกหนึ่งคำแทรกตรงนี้คือ Dynamic Range คำนี้ใช้ในแวดวงดิจิตอลนะครับ คือความแตกต่างระหว่างโทนมืดๆ กับโทนสว่างๆ ในภาพนั่นล่ะครับ และแสดงค่าออกมาในรูปกราฟฟิกที่เราคุ้นเคยกันคือ Histogram ทั้งจอหลังกล้องหรือโปรแกรมตกแต่งภาพต่างๆ

ที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วล่ะครับ ว่าจะทำให้ Subject Contrast ที่เราจะถ่าย ย้ายมาอยู่บนเนกาทีฟ เพื่อให้ได้ Negative Contrast ที่ถูกต้อง (ซึ่งความจริงมันสัมพันธ์กับ Negative Density อีกนะครับ ถ้าแบบซีเรียสเลยต้องใช้เครื่องมือวัดที่เรียกว่า Densitometer นะครับ) โดยต้องมองข้ามไปถึงกระดาษที่เราใช้ด้วยนะครับ บางคนอาจจะสร้าง Negative Contrast เพื่อลงกระดาษเกรด 2 หรือฟิลเตอร์เบอร์ 2 เป็นมาตรฐาน หรือบางคนอาจจะชอบใช้เกรด 3 ก็ได้ อันนี้แล้วแต่แนวของแต่ละคนที่ทำงานขยายรูปในห้องมืดครับ (หรือบางท่านอาจจะนำไปทำพวก Alternative Process อย่างอื่นซึ่งต้องการ Negative Contrast ที่แตกต่างกันไปแต่ละแบบอีก)

แสงประดิษฐ์ตามในโบสถ์เป็นอะไรที่รบกวนมาก ลดเวลาล้างลงหน่อยเพื่อได้รายละเอียดในส่วนที่แสงส่องสว่างมากๆ และแสงด้านนอกหน้าต่างที่แตกต่างอย่างมากกับแสงด้านในอีกด้วย

แล้วเราจะคุม Negative Contrast อย่างไรให้เข้ากับ Subject Contrast ล่ะครับ?

ทุกคนเวลาออกถ่ายรูปคงจะเคยเจอสภาพแสงที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลา แดดเปรี้ยงๆ บ้าง หรือฟ้าครึ้ม ฟ้าหลัว วันไหนแดดแรงก็คอนทราสสูง เพราะเงาจะดำเข้ม แสงสะท้อนต่างๆก็แรงมาก เนกาทีฟที่ออกมาส่วนเงานี่แทบจะใสไร้รายละเอียด วันไหนฟ้าหม่นๆ มองไม่เห็นตะวัน วันนั้นก็คอนทราสต่ำได้เนกาทีฟดูแบนๆ ชอบกล ปกติตามหลัก Zone System จะให้ความสำคัญคอนทราสของฟิล์มจากเงาถึงส่วนสว่างอยู่ที่ 5 Stop ดังนั้นก่อนถ่ายต้องเชคดูส่วนต่างของแสงจากเครื่องวัดแสง จากส่วนเงาที่ต้องการให้เห็นรายละเอียด ย้ำนะครับไม่ใช่ส่วนเงามืดสุด กับส่วนที่สว่างที่สุดเสีย ศัพท์อย่างเป็นทางการเค้าเรียกย่อว่า SBR หรือ Subject Brightness Range ก่อนเพื่อที่จะได้เลือกวิธีการล้างฟิล์มให้ถูกต้อง ว่าเกินหรือว่าต่ำกว่าช่วง 5 Stop ถ้าเกินต้องลดเวลาล้าง ถ้าต่ำกว่าต้องเพิ่มเวลาล้างช่วย (หลักการคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพนะครับ บางทีการบีบเอา Subject Contrast ที่กว้างมากๆ มาลงบน Negative Contast ก็อาจจะได้ภาพเทาๆ ตุ่นๆ นะครับ เพราะการไล่โทนที่กว้างถูกบีบเข้ามาจนแคบเกินไป ยังมีเทคนิกอีกหลายอย่างที่ต้องนำมาใช้ และขึ้นอยู่กับภาพในหัวของเราที่ต้องการให้ออกมาเป็นยังไง จินตนาการภาพไว้ก่อนนี่สำคัญที่สุดนะครับ)

เคล็ดวิชาของการเตรียมเนกาทีฟขาวดำครับ Expose for shadow, Develop for highlight จากบทความก่อนหน้า จะเห็นว่าเราจะทำงานง่ายกว่ามากถ้าถ่ายด้วยฟิล์มแผ่น แล้วนำไปล้างด้วยเวลาเฉพาะเจาะจง ทีนี้พอมาเป็นฟิล์มม้วน ถ้า 120 ก็ง่ายหน่อยเพราะจำนวนเฟรมน้อย อาจจะสามารถถ่ายในสภาพแสงเดียวกันหรือแตกต่างกันเล็กน้อยภายในม้วนเดียวกันได้ สามารถคุม Negative Contrast ได้ดีกว่าฟิล์ม 135 (หรือกล้องที่เป็นฟิล์มแมกกาซีนได้ยิ่งสะดวก โดยอาจแยกแมกกาซีนนึงเป็นสภาพแสง Normal อีกแมกกาซีนนึงเป็นสภาพแสงคอนทราสสูง หรือคอนทราสต่ำ แล้วไปล้างเพิ่มลดเวลาเอา) ในกรณีฟิล์ม 135 อาจจะใช้เทคนิค Minimal Agitation ช่วย (เพื่อไม่ให้ Highlight หนาเกินไปและเพิ่มรายละเอียดใน Shadow) ในบทความที่ผ่านมาผมทดลองกับน้ำยา Microphen ไม่ค่อยพอใจผลที่ออกมาเท่าไหร่เพราะเกรนไม่ค่อยสวย การเขย่าแบบนี้เหมาะกับน้ำยาพวก Kodak HC110 (Ilfotec HC) หรือไม่ก็ Rodinal เพราะน้ำยาพวกนี้ความเข้มข้นสูง พอผสมให้เจือจางมากๆ จะให้ผลออกมาดีมากับ Minimal Agitation
 
วิธีแก้ไขแรกในกรณีที่เจอวันฟ้าหม่นๆ มองไม่เห็นตะวัน ผมขอแนะนำให้เพิ่มเวลาล้างฟิล์มมากขึ้นจากปกติ แต่ข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งในการปรับเพิ่มเวลาล้าง โดยเฉพาะฟิล์มฟอร์แมตเล็กๆ อย่าง 135 คือพอเราเพิ่มเวลาล้างจากเวลาปกติ สิ่งที่ได้เพิ่มมาด้วยคือ เกรนที่หยาบขึ้น ผมไม่แนะนำให้ล้างเกิน N+1 (เอาคร่าวๆก็เพิ่มเวลาล้างประมาณ 20% ครับ) เพราะพอเกรนหยาบยิ่งต้องขยายใหญ่ (135 ขยายลงกระดาษ 8x10 นี่ประมาณสิบเท่าเลยนะครับ) ผลจะออกมาไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ พอเป็น 120 ขยายประมาณสี่เท่าผลที่ได้ยังสวยอยู่ แต่ฟิล์มแผ่นไม่ต้องห่วงครับเรื่องเกรนไม่ค่อยมีปัญหา เริ่มต้นหัดคุมคอนทราสให้สังเกต Shadow ในเนกาทีฟให้ดีนะครับ พอเพิ่มเวลาล้าง Shadow อาจจะหนาขึ้นหน่อยแล้วแต่น้ำยาแต่ละตัว ถ้าหนามากคราวต่อไปก็เพิ่ม ISO ตอนถ่ายเพื่อดึงให้ Shadow กลับไปที่เดิมนะครับ อันนี้เป็นการปรับโทนโดยรวมให้กลับไปใกล้เคียงการล้าง Normal เพราะเราล้างนานขึ้นโทนมันจะขยับขึ้นมาหมดครับ

ในทางตรงข้ามวันที่แดดจัดเงาเของวัตถุหากดำปี๋เลย หรือถ้าถ่ายคนตอนเที่ยงตะวันตรงหัว ผมแนะนำให้ลดเวลาล้างลง แต่นะครับแต่ สิ่งที่ต้องระวังคือ Shadow นะครับเพราะเมื่อล้างสั้นลง Shadow มันจะบางลงตามไปด้วย จากไม่ค่อยจะมีไรติดอยู่แล้ว (ล้าง N-1 จะลดเวลาล้างลงประมาณ 15%) ให้ชดเชยแสงเพิ่มโดยการลด ISO ลง เพื่อให้ส่วนเงาเรามีรายละเอียดกลับคืนมา และปรับโทนของภาพโดยรวมด้วยครับ 

ถ้ายังไม่ได้ขยับมาถ่าย Large Format ผมว่าคุม Negative Contrast ล้างเพิ่มหรือลดเวลาซัก N+1 หรือ N-1 จะได้ผลดีกว่าโดยรวมกับฟิล์มทั้งม้วน (Subject Contrast ที่หลากหลาย) แล้วไปแก้ไขอีกนิดหน่อยตอนขยายรูป เพราะในปัจจุบันเราใช้กระดาษแบบ Variable Contrast กัน แต่ก็อย่าคิดว่าถ่ายๆ ไปเหอะไปลุยในห้องมืดเสียอย่างเดียว กระดาษ VC มันก็มีข้อจำกัดเช่นกัน อีกทั้งจะต้องทำงานยากขึ้นอีกด้วย การเตรียมเนกาทีฟที่ดีมาจะทำให้การขยายรูปเราเพียงแค่บังๆเผาๆ นิดหน่อยก็ได้ภาพที่ดีออกมาแล้ว

ก่อนถ่ายม้วนต่อไปนั่งวิเคราะห์เนกาทีฟเก่าๆของเรา แล้วลองนำสิ่งที่ผมเล่ามาข้างต้นไปทดลองปรับใช้ดูนะครับ รับรองว่าจะได้เนกาทีฟที่ดีขึ้น ทำงานตอนขยายรูปได้ง่ายขึ้นครับ ได้เนกาทีฟใหม่มาก็วิเคราะห์ดูอีกครั้งนะครับ แล้วค่อยๆ ขยับเวลาล้าง ค่า ISO จนได้สิ่งที่เราพอใจ โทนภาพโดยรวมมันเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละคนนะครับ ปรับกันเองให้ได้อย่างใจต้องการ

หากสงสัย หรือโต้แย้งทิ้งข้อความไว้ด้านล่างได้นะครับ หรือถ้าคิดว่าพอจะมีประโยชน์ช่วยแชร์ต่อให้เพื่อนๆด้วยนะครับ


หมายเหตุ :
เวลาชดเชยการล้างของ N+1 หรือ N-1 เป็นการประมาณคร่าวๆ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามน้ำยากับฟิล์มแต่ละตัว การจะได้ค่าถูกต้องต้องทำ Film Test เสียก่อน แต่กับฟิล์มม้วนคิดว่าเพียงพอ เพราะทั้งม้วนจะมี Subject Contrast ที่หลากหลาย

อาจจะใช้น้ำยาประเภท 2 Bath (2 Bath Developer) ซึ่งมีอยู่มากมายหลายสูตร โดยน้ำยาจะแยกออกเป็นสองตัว Part A และ Part B แช่ฟิล์มลงใน Part A ตามเวลาแนะนำ ตามด้วย Part B จากนั้น Stop ด้วยน้ำเปล่าแล้วลง Fixer น้ำยาจำพวกนี้จะช่วยป้องกัน Highlight ไม่ให้หนาจนเกินไป (Blown Out) แต่ไม่ค่อยเหมาะในการล้างเพื่อเพิ่มคอนทราส

ตัวอย่างค่าฟิล์มสปีดกับน้ำยาแนะนำ รวบรวมมาจากฟอรั่มของฝรั่งนะครับ
  1. Tri-x ถ่ายที่ 320 กับน้ำยา D-76 ผสม 1:1
  2. Tri-x ถ่ายที่ 250 กับน้ำยา Rodinal ผสม 1:50
  3. Tmax 100 ถ่ายที่ 64 กับน้ำยา HC110 Dil B
ติดตามข้อมูลต่างๆ ได้ที่ ห้องภาพไทยศิลป์ ช่วยกัน Like ช่วยกัน Share นะครับ

Friday, 23 May 2014

Minimal Agitation เขย่าน้อยลง ได้ผลดีมากขึ้น?

ภาพนี้สภาพแสงที่ส่วนมืดกับส่วนสว่างจากหลอดไฟต่างกันเยอะมาก ได้ผลน่าพอใจทีเดียว

ระยะหลังนี้ผมไม่ค่อยถ่ายภาพในฟอร์แมต 135 (หรือบ้างเรียก 35 mm) เท่าไหร่นัก จะถ่าย Medium Format เป็นหลักมากกว่า เพราะเริ่มถ่ายน้อยลง สำหรับผมม้วนนึงซัก 12 รูปนี่กำลังดีเลย ไม่ต้องคาฟิล์มไว้ในกล้องนาน หรือว่าตะบี้ตะบันกดๆ ไปให้หมดม้วนเพื่อจะได้ถอดล้าง สลับกับหัดถ่าย LF บ้างนิดหน่อย เพราะชอบทำงานช้าๆ กับกล้องเพื่อเก็บภาพทีละใบแล้วใส่ใจกับการล้างฟิล์มใบนั้นๆ และคิดว่าหลายๆคน ที่พอข้ามไปใช้ฟอร์แมตที่ใหญ่กว่า แล้วได้เห็นเนกาทีฟที่ล้างออกมาก็คงไม่อยากกลับมาใช้ฟอร์แมตที่เล็กกว่าแน่นอน แต่บางทีบางสถานการณ์ การกลับมาใช้ฟอร์แมต 135 ที่คล่องตัวกว่า จำนวนภาพต่อม้วนที่มากกว่าก็เหมาะสมกว่า ช่วงนี้ผมปัดฝุ่นเอา eos 30V ติดเลนส์ 17-40 f4 L ออกมาใช้งานใหม่ แต่คราวนี้ผมคิดไปถึงเรื่องการล้างฟิล์มเพื่อให้ฟิล์มที่พื้นที่เล็กๆ นี้มีคุณภาพมากที่สุด

ด้วยข้อจำกัดของฟิล์มขนาด 135 ทั้งเรื่องของขนาด (พื้นที่ของฟิล์มที่ใช้งานจริงๆ คือ 24x36 mm เท่านั้น) และในหนึ่งม้วนนี่เรียกว่าถ่ายภาพที่มีความหลากหลายทั้งสภาพแสงและคอนทราสต่างๆกันไป ทั้งกลางแดดบ้าง ในร่มบ้าง หรือสภาพแสงน้อยๆ บ้าง อีกทั้งยังข้อจำกัดในการขยายภาพลงบนกระดาษอีก ปกติผมจะขยายภาพลงบนกระดาษขนาด 8x10 นิ้ว กับฟิล์ม 135 นี่เท่ากับเราขยายมันขึ้นเกือบๆ สิบเท่า (10x) แล้วนะครับ ยิ่งถ้าเกิดรูปไหนอยากขยายลงกระดาษขนาด 11x14 นิ้วด้วยแล้ว ถ้าไม่เตรียมฟิล์มให้มีคุณภาพที่สุดแล้วเวลานำไปขยายจะต้องแก้ปัญหาต่างๆ มากมาย ซึ่งบางครั้งเสียเวลากว่าการถ่ายและล้างฟิล์มหลายเท่าตัว


ฟิล์ม Ilford Hp5+ ม้วนนี้ถ่ายมาหลากหลายสภาพแสง
ไม่ว่าจะกลางวันกลางแจ้ง กลางคืนในอาคาร นอกอาคาร
พอดีหลังจากที่ได้เดินลัดเลาะตามซอกซอยแห่งเส้นทางขาวดำทำมือ ผมมาติดใจน้ำยาตัวนึงของ Ilford ชื่อ ID-68 ที่คิดว่าเทียบเท่ากับ Microphen ผมเป็นคนที่ชอบน้ำยาสูตรที่ใช้ Phenidone แทน Metol อยู่แล้ว (PQ Developer) เพราะโดยส่วนตัวเห็นว่ามันช่วยเพิ่ม Speed ให้กับฟิล์มได้ (โดยปกติแล้วถ้าเราถ่ายที่ Box Speed สังเกตุให้ดีนะครับว่ารายละเอียดในส่วนเงามืด หรือโซนต่ำๆ แทบจะไม่มีให้เห็นในเนกกาทีฟเลย โดยเฉพาะส่งล้างตามแลปรูปด่วนทั่วไป) ผมชอบน้ำยาของ Ilford ตัวนี้เพราะ Film Speed ไม่เสียเลย กับฟิล์มบางตัวอย่างเช่น Tri-x ยังได้เพิ่มเป็น 800 ด้วยซ้ำ สามารถใช้ล้างฟิล์มที่ถ่ายที่ Box Speed ได้ทุกตัวครับ เหมาะกับคนที่ยังไม่เข้าใจการหาค่า Exposure Index (EI) ของตัวเอง ราคาอาจจะสูงหน่อยแต่มีวิธีการล้างแบบวนซ้ำใช้ซึ่งไว้วันหลังมีโอกาสจะเอามาเล่าอีกครั้ง หรือจะผสมเองแบบผมก็ได้ หาสูตรได้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ต 

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของน้ำยาตัวนี้คือเป็นน้ำยาล้างฟิล์มแบบเกรนค่อนข้างละเอียด (fine-grain) เมื่อเทียบกับความคมชัดที่ดี สามารถผสมน้ำอัตราส่วน 1:1 หรือ 1:3 ก็ได้ โดยยิ่งเจือจาง ยิ่งได้ความคมที่ดีขึ้น (acutance) และการไล่โทนที่สวยอีกด้วย แต่เป็นน้ำยาคนละประเภทกับพวก High Definition นะครับ พวกนั้นออกแบบมาให้ความคมชัดสูงมากๆ เพราะทำงานกับเกรนอีกแบบหนึ่ง แต่มีดีย่อมมีเสีย ข้อเสียของน้ำยาที่เป็นพวก PQ นี้จะทำให้เบสฟิล์มที่ได้ขุ่นมากกว่า (fog) อาจจะดูแปลกตากับคนที่ไม่เคยใช้น้ำยาพวกนี้มาก่อน แต่ไม่มีผลกับการอัดขยายนะครับ ถ้าเราล้างได้ถูกเวลาก็จะได้คอนทราสที่ถูกต้อง
ลองทดลองอีกครั้งกับสภาพแสงที่ค่อนข้างซับซ้อน โทนสว่างสวยทีเดียว

จากคุณสมบัติของน้ำยาที่กล่าวไป ทำให้ผมคิดว่าถ้านำมาใช้กับฟิล์ม 135 น่าจะทำให้ได้เนกาทีฟที่ดีขึ้น ทีนี้ก็ลองมาคิดถึงวิธีการล้างดูบ้าง เป้าหมายผมสำหรับฟิล์ม 135 คือเกรนต้องไม่หยาบ เพราะต้องขยายรูปที่กำลังขยายสูงมาก ความคมต้องดี รายละเอียดต่างๆ ในส่วนมืดต้องปรากฏไม่ดำเป็นปื้นๆ และด้วยหลายๆ สภาพแสงในหนึ่งม้วน รูปที่ถ่ายกลางแจ้งอาจจะมีปัญหาในส่วนของไฮไลท์ที่อาจจะเข้มเกินไปทำให้เกิดปัญหาตอนขยายรูป ต้องสามารถคุมไฮไลท์ตรงนี้เอาไว้ให้ได้ด้วย (ความจริงมีน้ำยาอีกหลายสูตรที่แก้ปัญหา Highlight โดยตรงเหมือนกันนะครับ แต่ต้องแลกกับเสียอย่างอื่นไป)

Ansel Adams แนะนำไว้ในหนังสือ Negative ของเค้าไว้ว่า การใช้ฟิล์มแบบม้วน Roll Film ที่ถ่ายสภาพแสงต่างๆ กัน ควรจะล้างลดเวลาลงเพื่อป้องกัน Highlight เอาไว้ (ให้ล้างแบบ N-1) ซึ่งการลดเวลาล้างลงย่อมมีผมกับความเข้มของเนกาทีฟในส่วน Shadow ไปด้วย คือทำให้รายละเอียดเงามืดหายไป Ansel Adams แนะนำว่าควรใช้การล้างแบบ Minimal Agitation เข้าช่วยในกรณีแบบนี้ ข้อดีคือรายละเอียดและความเข้มในส่วนเงายังคงดีอยู่ ขณะเดียวกันก็ช่วยทำให้ส่วน Highlight ไม่เข้มมากจนเกินไป Minimal Agitation คือการล้างโดยการลดการเขย่าแทงค์ลง อย่างในปกติเราจะเขย่าแทงค์ทุกๆ หนึ่งนาที ก็ให้ยืดเวลาเป็นเขย่าทุกๆ สามนาทีแทน และอาจจะลดจำนวนการเขย่าลงด้วย อย่างเช่นรอบละสี่ครั้ง ก็อาจจะลดเหลือแค่สามครั้ง แล้วการเปลี่ยนวิธีนี้มันเกิดอะไรขึ้น?

เมื่อเราเทน้ำยาใส่ในแทงค์ ฟิล์มเริ่มสัมผัสกับน้ำยา ในส่วนที่เป็นไฮไลท์ ในตอนถ่ายส่วนนี้จะรับแสงมาก น้ำยาต้องทำปฏิกิริยาเคมีสร้างภาพบริเวณนี้สูงมาก ทำให้น้ำยาหมดฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ส่วนในบริเวณที่ได้รับแสงน้อยในฟิล์ม (Shadow) การสร้างภาพจะเกิดปฏิกิริยาน้อยกว่า ทำให้น้ำยาบริเวณนี้ยังทำงานได้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นภาพการทำงานทางเคมีที่เกิดขึ้นแล้ว โดยปกติเราต้องเขย่าแทงค์เพื่อให้น้ำยาเคลื่อนที่ ให้น้ำยาที่ใหม่กว่าเข้าแทนที่เพื่อสร้างภาพที่บริเวณ Highlight โดยปกติเราก็จะเขย่าให้น้ำยาวนเข้าไปใหม่ทุกๆ นาทีจนกว่าจะครบตามเวลาที่ต้องการ

ทีนี้พอเราเปลี่ยนการเขย่าเป็นทุกๆ สามนาที น้ำยาบริเวณ Highlight จะหมดฤทธิ์ไปละ แต่ที่ Shadow มันยังคงทำงานสร้างภาพต่อไปเรื่อยๆ เท่ากับว่าทุกๆ สามนาทีเราชะลอการสร้างภาพที่ Highlight และเพิ่มการสร้างภาพที่ Shadow เหมือนกับเรากำลังพยายามบาลานซ์อัตราการสร้างภาพของทั้งสองส่วนให้มากขึ้นกว่าการเขย่าแบบปกติ แต่อย่าลืมว่าเรากำลังลดการสร้างภาพที่ Highlight ลง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเพิ่มเวลาในการล้างมากขึ้น เวลาแนะนำในการเริ่มต้นทดลองคือเพิ่มขึ้นอีก 50% ของเวลาปกติที่เราใช้ล้างในการเขย่าแบบปกติ (จะแตกต่างกันไปตามชนิดของฟิล์ม และน้ำยาที่เลือกใช้ร่วมกัน) ผลที่ได้คือในส่วน Shadow จะเกิดรายละเอียดและคอนทราสที่ดีเพิ่มมากขึ้น  และยังสามารถกด Highlight เอาไว้ไม่ให้หนาจนเกินไปอีกด้วย ในความเข้าใจของผมเองกระบวนการแบบนี้และผลที่ได้ออกมา ฝรั่งเค้าเรียกว่า Compensation Effect คนละอย่างกับกระบวนการ Push นะครับ การ Push เป็นการ Under expose แล้วทำการ Over develop ซึ่งแน่นอนการเพิ่มเวลาล้างนั้นทำให้เกรนหยาบขึ้นอย่างแน่นอน และรายละเอียดในส่วนเงามืดจะไม่ค่อยมีเพราะฟิล์มรับแสงไม่พอที่จะเกิดภาพได้
การไล่โทนในโซนต่ำยังมีรายละเอียดและคอนทราสที่ดี

ครั้งนี้เรามีตัวแปรที่เล่นอยู่คือ การเขย่า กับน้ำยาที่มีคุณสมบัติเพิ่ม Film Speed ผมยังไม่อยากเปลี่ยน Dilution ของน้ำยาเป็น 1+3 เพราะอยากเห็นแค่ผลของการเปลี่ยนการเขย่าเสียก่อน ไว้โอกาสหน้าคงได้ลองกัน จากการเปลี่ยนการเขย่าแบบนี้ ผมขอสรุปว่าเราได้ Shadow Detail และ Shadow Contrast ที่ดีขึ้น ซึ่งแน่นอนเมื่อส่วนเงาเนื้อหนังมีเพิ่มมากขึ้นย่อมแสดงว่าเราได้ Film Speed เพิ่มมากขึ้น อย่างรูปประกอบต่างๆ ในที่นี้ผมใช้ Hp5+ ถ่ายที่ EI 800 กับฟิล์ม 120 ก็ทำให้ทำงานง่ายยิ่งขึ้นโดยเฉพาะกับกล้องแบบ TLR ที่ผมใส่ฟิลเตอร์สีเหลืองเพิ่ม ซึ่งต้องเสียแสงไปอีก 1 Stop หรือกับกล้อง Slr ที่เลนส์ไม่ได้ไวแสงมากนัก ก็ใช้ถ่ายในสภาพแสงน้อยๆ ได้อย่างดี และได้ภาพที่มีรายละเอียดในส่วนมืดๆ ได้อย่างดี ส่วนเรื่องเกรนนั้นถือว่าพอใช้ได้กับฟิล์ม 135 แต่ความสัมพันธ์อย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าคุณต้องการความคมมากขึ้น คุณต้องการเกรนที่ใหญ่ขึ้น เพราะความคมที่เกิดขึ้นมันเกิดจากเกรน อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ณ ตอนนี้นะครับ อีกหน่อยพอเจออะไรมากขึ้น อาจจะมีข้อมูลใหม่ก็ได้

บทความนี้อาจจะออกไปทางด้านเทคนิคมากเกินไปหน่อย แต่ผมคิดว่ามันสำคัญต่อคนที่คิดจะเริ่มล้างฟิล์มเอง จะได้มองเห็นภาพว่าไอ้ที่เราได้เรียนรู้มานั้นทำไปเพื่ออะไร แล้วมันเกิดผลอย่างไร น้ำยากับฟิล์มมันทำงานร่วมกันอย่างไร เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับแต่ละคนได้ต่อๆไป
แถมซักใบ ภาพนี้จากฟิล์ม 120 ฟอร์แมต 645 นะครับจะเห็นว่าการไล่โทนดีกว่าฟิล์มเล็กๆ มาก
(กลายเป็นสีซีเปียได้อย่างไรไม่ทราบ น่าจะเป็นข้อผิดพลาดของโปรแกรมสร้าง Blog)

ภาพประกอบทั้งหมดผมสแกนจากเนกาทีฟนะครับ (รู้สึกว่าความแน่นของเกรนไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ คงต้องทดสอบอีกซักม้วนนึงกับน้ำยาที่ผสมสดๆ อีกครั้ง) ยังไม่มีโอกาสขยายลงบนกระดาษ ไว้มีเวลาจะขยายแล้วสแกนมาลงกันใหม่นะครับ แต่ผมพยายามปรับให้ส่วนในเงามืดมีน้ำหนักใกล้เคียงกับที่อยู่ในเนกาทีฟมากที่สุดเท่าที่ทำได้ สุดท้ายสิ่งไหนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ หรืออยากโต้แย้งเชิญคอมเมนท์ทิ้งไว้ได้เลยครับ การโต้เถียงกันให้เกิดความรู้ใหม่ๆ ยินดีเสมอครับ หรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลต่างๆ สามารถทำได้เสรีในพื้นที่แห่งนี้ครับ


The production of a perfect picture by means of photography is and art. 
The production of a technically perfect negative is a science.

--- Ferdinand Hurter

Friday, 16 May 2014

โลกแห่งขาวดำทำมือ


ตาของเราทุกคนมองโลกสวยใบนี้เต็มไปด้วยสีสันทุกๆวัน จนบ้างครั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นๆ กันมันดูชินตาไปเสียหมด ผมมีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นที่ได้เห็นรูปขาวดำจากฝีมือ พ่อ แม่ ตา ยาย มาตลอด แรกๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนักตามประสาเด็ก พอเริ่มหัดใช้กล้องก็ถ่ายแต่ฟิล์มสี จนเข้าสู่ยุคดิจิตอล ผมก็เป็นคนหนึ่งที่หลงเข้าสู่่กระแสของมัน กล้องตัวแรก Canon EOS 10D ตอนนั้นจำได้ว่าจ่ายไปเฉพาะตัวกล้องเจ็ดหมื่นกว่าบาทกับกล้องความละเอียด 6 ล้านพิกเซล ศึกษาการเตรียมไฟล์ แต่งไฟล์ต่างๆ จนพอเอาตัวรอดได้ รวมทั้งเรื่องการจัดการสี แต่พอมาถึงวันนึง เกิดความรู้สึกว่าข้อดีต่างๆ ของระบบดิจิตอลนั้น มันดี มันง่ายเกินไป จนไร้ค่า ไม่มีสิ่งใดน่าจดจำ 

ในช่วงปลายของยุคฟิล์มที่ทุกคนวิ่งเข้าหาถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ของดิจิตอล ผมกลับค่อยๆ พาตัวเอง เดินเข้าสู่ตรอกซอกซอยแห่งโลกของ "ฟิล์ม" อย่างเต็มตัว โดยเฉพาะโลกของ "ขาว-ดำ" โลกใบนี้ไม่ได้ใช้ตาเนื้อมอง มันใช้ตาภายในมองต่างหาก สีสันต่างๆ ถูกตัดลดออก ผมต้องหัดมองโลกในแบบที่กล้องถ่ายรูปมองคือมองทุกอย่างเป็นโทนความเข้ม ความสว่างต่างระดับไล่เรียงกันไป

การจะถ่ายรูปขาวดำซักรูปนั้น มาสเตอร์ทั้งหลายพร่ำบอกเสมอว่า คุณต้องจินตนาการให้ได้ว่าภาพที่กำลังจะถ่ายนั้น เมื่อมันไปอยู่บนกระดาษแล้ว มันจะเป็นยังไง (Previsualized) แรกๆ ผมไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้ เพราะเราไม่ได้เริ่มถ่ายภาพมาจากแนวขาวดำแต่แรก ถ่ายไปล้างฟิล์มไป เหมือนกับที่ถ่ายฟิล์มสี คือแค่วัดแสงให้ได้ค่า Exposure ที่ถูกต้องเท่านั้น ดูในเนกาทีฟก็สวยดี เวลานำเนกาทีฟไปสแกน หรือขยายรูปในห้องมืด ก็ได้รูปไม่ค่อยเกิดปัญหา แต่พอวันนึงมานั่งดูรูประดับมาสเตอร์ทั้งหลาย เปรียบเทียบกับรูปตัวเองแล้ว รู้สึกได้ทันทีว่ารูปของเราไม่มีพลังพอ มันเป็นได้แค่รูปที่ดี แต่ยังไม่เป็นรูปที่เยี่ยม 

ผมพลาดตรงไหนเหรอ? จากที่เราศึกษาจากตำรับตำรามาหลายเล่ม หลายๆแหล่ง ผมมองข้ามเทคนิคหลายๆ อย่างที่เรารู้แต่เราไม่ทำ เราคิดว่ามันไม่น่าจำเป็น ผมทบทวนทุกอย่างใหม่หมด เริ่มต้นอ่านใหม่อย่างละเอียด พักการออกไปถ่ายรูปเอาไว้ก่อน เริ่มจากการปรับระบบขยายรูปในห้องมืดใหม่ นำเนกาทีฟเก่าๆ ที่ถ่ายไว้มาขยายใหม่ตามเทคนิคต่างๆ ในตำรา แน่นอนงานออกมาดีมากขึ้น ผมเริ่มเรียนรู้ว่าเทคนิคในห้องมืดนั้นช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าต้นทางมาไม่ดี งานที่ได้ก็ยังไม่สุดยอด ผมนึกถึงคำกล่าวนึงได้ Garbage in, garbage out ผมมองย้อนกลับมาที่เนกาทีฟ กลับไปทบทวนกระบวนการล้างฟิล์มใหม่โดยอิงกับ Zone System ซึ่งเป็นระบบที่มีมานานแต่ผมไม่ค่อยจะศรัทธามันเท่าไหร่ ผมเริ่มหาเวลาออกถ่ายรูปใหม่ แต่คราวนี้ถ่ายน้อยลง แต่คิดมากขึ้นก่อนถ่าย เอาฟิล์มกลับมาทดลองล้างด้วยเทคนิคใหม่ๆ เนกาทีฟที่ได้ออกมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังมีบางอย่างที่ยังขาดหายอยู่

ผมย้อนตัวเองมาหัดถ่ายรูปใหม่ ใช้หลัก Previsualized กับ Zone System มองซีนที่จะถ่าย แล้วจินตนาการว่าจะให้น้ำหนักของภาพเป็นยังไง จุดเด่นอยู่ที่ไหน จะนำสายตาไปสู่จุดเด่นได้อย่างไร วัดแสงจุดต่างๆ ของภาพเพื่อเชคดูว่าส่วนที่แสงน้อยสุดต่างกับส่วนที่สว่างที่สุดเท่าไหร่ ผมเริ่มไม่ถ่ายอย่างที่ตาเห็น แต่ถ่ายอย่างที่เกิดภาพขึ้นมาในใจ ตามอารมณ์และความรู้สึกขณะนั้น บางทีอาจจะมืดกว่า หรือสว่างกว่าที่ตาเรามองเห็น อย่างในภาพน้ำตกนี้จะว่าไปเป็นภาพแรกที่ผมตั้งใจใช้เทคนิคต่างๆ ที่ได้กลับไปศึกษาเรียบเรียงความคิดตัวเองใหม่เอามาใช้ ผมถ่ายตอนเย็นที่ท้องฟ้าหม่นๆ ประมาณสี่โมงครึ่ง แสงแดดที่ส่องลงตรงๆ ที่น้ำตกไม่เหลือแล้ว เรียกง่ายๆ ว่าคอนทราสต่ำมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็อาจจะวัดแสงตกกระทบ แล้วตั้งค่าถ่ายเลย หรืออาจจะวัดแสงสะท้อนที่น้ำ แล้วชดเชยแสงโอเวอร์ 2-3 Stop แล้วถ่าย แต่คราวนี้ผมวัดแสงเน้นไปที่ผนังก้อนหินที่พื้นผิวผมสะดุดใจผม ในความจริงตรงหินจะค่อนข้างสว่าง ผมจึงชดเชยให้ Under 2 Stop ให้ดูดุดำอย่างที่คิดเอาไว้ในใจ แต่ยังสามารถแสดงรายละเอียดได้สวยงาม จำค่าแสงนี้เอาไว้ จากนั้นผมวัดแสงสะท้อนจากน้ำที่กำลังไหล ในใจคิดไว้ว่าจะให้เป็นสายน้ำสีขาวไหลนุ่มละมุนละไม แต่ยังต้องปรากฏรายละเอียดบ้างพอควร ค่าแสงที่ได้ต่างกับที่วัดในจุดก้อนหินตอนแรก 4 Stop ช่วยยีนยันได้ว่าคอนทราสของซีนนี้ต่ำมาก ผมเห็นภาพในใจทันทีว่าน้ำที่ตั้งใจให้ขาวเป็นจุดเด่นจะไม่ขาวแน่ เพราะผมถ่าย Under นี่

ผมบันทึกภาพนี้ลงฟิล์มด้วยค่าแสงที่วัดและชดเชยตรงบริเวณหิน ถ่าย Under เพื่อให้หินมันดูดุดำเข้มมากขึ้น เคล็ดวิชาของการถ่ายขาวดำคือ Expose for Shadow เพราะถ้าคุณไม่ให้ปริมาณแสงที่เพียงพอตกกระทบลงบนฟิล์มแล้ว ไม่ว่าคุณจะใช้เทคนิคล้างฟิล์มอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถทำให้มีรายละเอียดปรากฏขึ้นในฟิล์มได้ จึงต้องให้ความสำคัญในการวัดแสงส่วนที่เป็นส่วนมืดเป็นอย่างมาก เพราะรูปที่สมบูรณ์จะต้องปรากฏรายละเอียดในส่วนเงามืด (Rich Black) ไม่ใช่เป็นสีดำปื้นๆ บนกระดาษ สิ่งที่ต้องคิดลำดับต่อมาคือ ถ้าผมล้างฟิล์มแผ่นนี้ด้วยเวลาปกติ (เวลาปกตินี้เราต้องทดลองหากันเสียก่อน) สายน้ำที่ผมตั้งใจจะให้ขาวเด่นขึ้นมาคงไม่ขาวแน่ๆ (Brilliant white) ทางแก้ต้องไปแก้ตอนล้างฟิล์ม อีกหนึ่งเคล็ดวิชาคือ Develop for Highlight เพื่อจะให้ได้ความขาวตามที่คิดเอาไว้ผมต้องเพิ่มเวลาล้างมากขึ้นจากเวลาล้างปกติ ในกรณีนี้ผมใช้เวลาล้างที่เรียกว่า N+1 เพื่อทำให้เนื้อฟิล์มบริเวณสายน้ำมีเพิ่มมากขึ้นซึ่งแน่นอนว่าเวลานี้ได้มาจากการทดลองล้างหาเวลาเอาไว้แล้วล่วงหน้า

ผมตั้งใจถ่ายให้มืดลง เพื่อให้หินดูสวยงามมีพลัง ขณะเดียวกันต้องพยายามทำให้สายน้ำขาวใส ด้วยการเพิ่มเวลาล้างฟิล์ม ผลที่ได้น่าพอใจมาก ภาพดูมีพลังดึงดูดสายตา ได้มากกว่าภาพจริงๆ ที่ผมมองเห็น บางทีการลองถอยหลังมาอีกสักก้าว มันทำให้เราเห็นโลกเบื้องหน้ากว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น